กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ออกมาเตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีความเสี่ยงที่จะขยายตัวในอัตราที่ช้าลงเป็นเวลานานาน เนื่องจากผลิตภาพการผลิตชะลอตัวลง และจำนวนชนชั้นกลางที่ปรับตัวลดลง
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวเพียง 1.2% ในไตรมาสสองของปีนี้ หลังจากที่ในไตรมาสแรกขยายตัว 0.8% ซึ่งนับว่าเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกันแล้วที่เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวต่ำกว่า 2% และยังอ่อนแรงมากสุดในรอบ 4 ปี
IMF ได้เตือนว่า สหรัฐอาจเผชิญกับ "ปัญหาท้าทายระยะยาวที่จะส่งผลกระทบอย่างหนัก" ต่อเป้าหมายการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ซึ่งรวมถึงแรงงานและกลุ่มชนชั้นกลางที่หดตัวลง
IMF ระบุในรายงานหลังสรุปภาวะเศรษฐกิจสหรัฐว่า "แรงงานสหรัฐเป็นจำนวนมากกำลังก้าวเข้าสู่การเกษียณอายุ โครงสร้างพื้นฐานกำลังพังทลาย ผลิตภาพเติบโตไม่เพียงพอ ส่วนตลาดแรงงานและภาคธุรกิจก็ดูมีศักยภาพลดลงในการจัดสรรทุนมนุษย์และทุนกายภาพ"
รายงานระบุว่า "อุปสรรคเหล่านี้ยังซ้ำเติมด้วยแนวโน้มรายได้ขาลง โดยสัดส่วนรายได้ของแรงงานนั้นได้ปรับตัวลดลงประมาณ 5% เมื่อเทียบกับช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ชนชั้นกลางได้หดตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 30 ปีให้หลัง การกระจายรายได้และความมั่งคั่งเริ่มแบ่งฝ่ายมากขึ้น และปัญหาความยากจนก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน"
นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการ IMF ได้กล่าวถึงปัจจัย 4 ประการที่อาจเป็นปัญหาท้าทายต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในอนาคต ได้แก่ การปรับตัวลดลงของอัตราส่วนการเข้าร่วมแรงงาน การชะลอตัวลงของผลิตภาพ ปัญหาการการกระจายรายได้และความมั่งคั่ง และจำนวนคนยากจนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
นางลาการ์ด ระบุว่า ปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเท่านั้น แต่รวมถึงในเรื่องการเมืองสหรัฐด้วย โดยเตือนว่านโยบายกีดกันทางการค้าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศของตนเอง (protectionism) ซึ่งที่เป็นที่พูดถึงในแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐนั้น จะไม่ช่วยสนับสนุนผลิตภาพการผลิต สำนักข่าวซินหัวรายงาน