ในวันนี้ มีข่าวแพร่สะพัดในตลาดการเงินเกี่ยวกับการที่ธนาคารดอยซ์แบงก์ ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ที่สุดของเยอรมนี เมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ กำลังพิจารณาการเพิ่มทุน หลังจากที่ทางธนาคารถูกกระทรวงยุติธรรมสหรัฐสั่งปรับเป็นจำนวนเงิน 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อยุติการสอบสวนในคดีที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) ซึ่งเป็นต้นเหตุของวิกฤตการเงินโลกในปี 2551
ทั้งนี้ สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ทางธนาคารกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการกับบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งเพื่อพิจารณาทางเลือกในการเพิ่มทุน
ทางด้านนายมานิช ซิงห์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุนของครอสบริดจ์ แคปิตอล เชื่อว่าดอยซ์แบงก์จะต้องทำการเพิ่มทุนเป็นจำนวนเงินอย่างน้อย 5 พันล้านยูโร (5.5 พันล้านดอลลาร์)
หนังสือพิมพ์ Handelsblatt ของเยอรมนีรายงานว่า ผู้บริหารของบริษัทชั้นนำของเยอรมนีได้ทำการหารือกันเกี่ยวกับปัญหาของดอยซ์แบงก์ และเห็นพ้องที่จะให้การอัดฉีดเงินทุน หากมีความจำเป็น
นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า ดอยซ์แบงก์จะต้องทำการปฏิรูปโครงสร้างธุรกิจ และหาทางเจรจาเพื่อให้ได้ข้อยุติกับทางการสหรัฐเกี่ยวกับการจ่ายค่าปรับโดยเร็วที่สุด
เมื่อวานนี้ ดอยซ์แบงก์ประกาศปลดพนักงานจำนวน 9,000 คนทั่วโลก ซึ่งในเยอรมนีจะมีการปรับลดพนักงานจำนวน 4,000 คน โดยเพิ่มขึ้น 1,000 คน จากแผนเดิมซึ่งกำหนดไว้ 3,000 คน
การประกาศปลดพนักงานดังกล่าวมีขึ้น ท่ามกลางความกังวลต่อวิกฤตการเงินของดอยซ์แบงก์ หลังจากที่ทางธนาคารถูกกระทรวงยุติธรรมสหรัฐสั่งปรับเป็นจำนวนเงิน 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ แม้ล่าสุดมีข่าวว่าทางธนาคารใกล้บรรลุข้อตกลงกับสหรัฐในการลดค่าปรับสู่ระดับ 5.4 พันล้านดอลลาร์
ทางด้านนายจอห์น ไครอัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของดอยซ์แบงก์ ยืนยันเมื่อปลายเดือนที่แล้วว่า ทางธนาคารยังคงมีสถานะที่แข็งแกร่ง แม้มีข่าวว่าเฮดจ์ฟันด์หลายแห่งได้ยุติการทำธุรกรรมกับทางธนาคาร