ที่ประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงลิมา ประเทศเปรู ได้ให้คำมั่นว่าจะผลักดันให้เกิดเศรษฐกิจแบบเปิด เพื่อรับมือกับมาตรการกีดกันทางการค้าในบางประเทศ
แถลงการร่วมในที่ประชุมเอเปคระบุว่า "เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังเผชิญกับภาวะกีดกันทางการค้าในบางประเทศ และมูลค่าทางการค้าที่ชะลอตัวลง ด้วยเหตุนี้ ที่ประชุมเอเปคจึงเห็นชอบให้มีการสร้างเศรษฐกิจแบบเปิด เพื่อให้เกิดการพัฒนาทางนวัตกรรม การเติบโตและการได้ประโยชน์ร่วมกัน เรามั่นใจว่า นโยบายการค้าแบบเปิดนั้น เป็นสิ่งจำเป็นต่อการผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างยั่งยืน และยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องในอีกหลายปีข้างหน้า"
รายงานระบุว่า รัฐมนตรีจาก 12 ประเทศที่เป็นสมาชิกข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ได้มีการหารือนอกรอบการประชุมเอเปคในครั้งนี้ โดยได้มีการแลกเปลี่ยนมุมมองที่จะผลักดันให้เกิดความคืบหน้าในข้อตกลงดังกล่าว
นายฮิโรโอชิ โอเอะ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของญี่ปุ่นที่รับผิดชอบในการเจรจาเรื่องข้อตกลง TPP กล่าวว่า "ขณะนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าคณะทำงานของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ จะดำเนินการอย่างไรกับข้อตกลง TPP แต่สมาชิกบางประเทศได้แสดงความกังวล หากนายทรัมป์ไม่เห็นด้วยกับการบังคับใช้ข้อตกลง TPP"
การประชุมเอเปคครั้งนี้จัดขึ้นภายหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งทรัมป์เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะของนักธุรกิจนิวยอร์กที่มีจุดยืนในการปกป้องการค้าและต่อต้านโลกาภิวัตน์ แนวคิดดังกล่าวได้สร้างความหวั่นวิตกให้แก่บรรดาประเทศคู่ค้าของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงญี่ปุ่น นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเคยประกาศในระหว่างการรณรงค์หาเสียงว่า เขาจะยับยั้งข้อตกลง TPP โดยอ้างว่าข้อตกลงดังกล่าวจะทำให้ชาวอเมริกันหลายล้านคนต้องตกงาน อีกทั้งยังสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐอีกด้วย