นโยบายการค้าได้กลายเป็นประเด็นหลักๆในแคมเปญเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2559 แต่สื่อสหรัฐรายงานว่า ขณะนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ จะเดินหน้านโยบายการค้าในทิศทางใด เนื่องจากทีมที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของตัวเขานั้นมีมุมมองที่แตกต่างกันในแง่ของนโยบายการค้า
หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล รายงานว่า ทีมที่ปรึกษาฝ่ายหนึ่ง "ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดทั่วๆไปในเรื่องของการค้า" และเชื่อว่าการกำจัดการขาดดุลการค้านั้นควรเป็นเป้าหมายที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดของนโยบายสหรัฐ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่ง "ค่อนข้างเห็นด้วยกับแนวคิดเดิมๆของพรรครีพับลิกันที่เน้นเรื่องภาษีและการกำกับดูแล"
ฝ่ายแรกมองว่า การจัดเก็บภาษีกับประเทศคู่ค้าของสหรัฐ และคิดภาษีกับบริษัทที่มีการจ้างงานในต่างประเทศนั้น เป็นเครื่องมือสำคัญในการสวนกระแสรายได้ที่หดตัวลงต่อเนื่องถึง 15 ปีในกลุ่มชนชั้นกลางชาวอเมริกัน ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่เห็นด้วยกับท่าทีแข็งกร้าวในเรื่องการค้า แต่มีเป้าหมายที่จะปรับลดระเบียบราชการและภาษีบางส่วน เพื่อทำให้สหรัฐเป็นประเทศที่น่าดึงดูดในการทำธุรกิจ
แอนดี้ ลาเพอร์ริเอร์ นักกลยุทธ์การเมืองประจำศูนย์วิจัย Cornerstone Macro LP กล่าวว่า "เป็นศึกระหว่างกลุ่มที่มองเรื่องอุปทานตลาด กับฝ่ายที่มองเรื่องผลประโยชน์ได้เสียเป็นหลัก"
ในช่วงเวลาที่นายทรัมป์กำลังจัดตั้งทีมเศรษฐกิจที่ทำเนียบขาว การประกาศแต่งตั้งบุคคลดำรงตำแหน่งที่กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สภาเศรษฐกิจแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า จะแสดงให้เห็นว่านายทรัมป์เห็นด้วยกับฝ่ายใด
ระหว่างช่วงหาเสียงเลือกตั้ง นายทรัมป์ได้ปลีกตัวออกจากหลักความเชื่อเดิมๆของพรรครีพับลิกันที่เอื้ออำนวยการค้าเสรี และได้หันไปน้อมรับนโยบายปกป้องทางการค้าแทน เพื่อเรียกเสียงสนับสนุนจากชนชั้นแรงงานที่ต้องสูญเสียงานให้กับแรงงานต่างชาติ ในโลกที่เศรษฐกิจเชื่อมต่อถึงกันยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ นายทรัมป์ยังให้คำมั่นเพื่อเจรจาความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ใหม่ และได้ขู่ที่จะดึงสหรัฐออกจากการเป็นสมาชิกข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ด้วย สำนักข่าวซินหัวรายงาน