นายลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ ได้ออกมาแสดงความกังวลว่า นโยบายเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐนั้น อาจก่อให้เกิดวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ เนื่องจากนายทรัมป์ได้เสนอให้มีการผ่อนคลายกฎระเบียบ ซึ่งนายซัมเมอร์สมองว่าจะส่งผลให้แวดวงการเงินตกอยู่ในความเสี่ยง
ย้อนกลับไปหลังนายทรัมป์คว้าชัยชนะจากการเลือกตั้งได้ไม่นาน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐเตรียมออกกฏข้อบังคับในระบบการเงินใหม่ พร้อมให้คำมั่นว่า เขาจะยกกฏหมายดอดด์-แฟรงค์ (Dodd-Frank Wall Street Reform and Consumer Protection Act) ซึ่งเป็นกฏหมายที่รัฐบาลของประธานาธิบดีบารัค โอบามา เคยใช้กู้วิกฤตการณ์ทางการเงินในอดีต
กฎหมายฉบับนี้มีใจความหลักอยู่ที่การเพิ่มความเข้มงวดในการทำธุรกรรมทางการเงินในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะในเรื่องของการปล่อยสินเชื่อ การเปิดเผยข้อมูลกองทุนเฮดจ์ฟันด์ การลงทุนของกลุ่มสถาบันการเงิน ไปจนถึงการทำธุรกรรมอนุพันธ์
ทีมกลยุทธ์นโยบายการเงินของทรัมป์ จึงเตรียมที่จะถอดถอนกฏหมายฉบับดังกล่าว และจะวางนโยบายทางการเงินใหม่ที่จะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจของชาติและอัตราการจ้างงานขยายตัวมากยิ่งขึ้น ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เพราะนอกจากแนวโน้มในการยกเลิกกฎหมายดังกล่าวแล้ว นักลงทุนคาดว่า มาตรการผ่อนคลายกฎข้อบังคับภาคธนาคารของนายทรัมป์นั้น จะครอบคลุมถึงการปฏิรูปหรือยกเลิกกฎโวล์คเกอร์ (Volker Rule) รวมทั้งจะมีการปรับกฎระเบียบอื่นๆที่ได้บังคับใช้ตลอดช่วง 8 ปีที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ นายซัมเมอร์สยังได้ออกมาวิจารณ์แนวคิดนโยบายการค้าแบบคุ้มกันของนายทรัมป์ ซึ่งได้ขู่ที่จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มจากค่ายรถยนต์หลายราย ไม่ว่าจะเป็นจีเอ็มและโตโยต้า หากบริษัทเหล่านี้เลือกขยายฐานการผลิตในเม็กซิโก ทว่าถ้อยแถลงดังกล่าวส่งผลให้เงินเปโซอ่อนค่าลง จนทำให้เม็กซิโกมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับสหรัฐ
สำหรับนโยบายลดภาษีธุรกิจที่นายทรัมป์ได้เสนอไว้นั้น นายซัมเมอร์สเปิดเผยว่าจะก่อให้เกิดความไม่เสมอภาค ซึ่งจะส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ท้ายที่สุดก็จะสร้างความเสียหายให้กับการส่งออกต่อไป ส่วนนโยบายเพิ่มงบประมาณด้านการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานนั้น นายซัมเมอร์สมองว่าเป็นเพียงผักชีโรยหน้า