ทำเนียบขาวแห่งสหรัฐเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ได้แสดงความจำนงที่จะจัดเก็บภาษีสินค้าทั้งหมดที่นำเข้าจากชายแดนเม็กซิโกในอัตราสูงถึง 20% ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับเม็กซิโก สืบเนื่องจากนายทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีให้เดินหน้าสร้างกำแพงเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวเม็กซิโกอพยพเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย
นายฌอน สไปเซอร์ โฆษกทำเนียบขาว ระบุว่า มาตรการทางภาษีใหม่ของปธน.ทรัมป์ มีวัตถุประสงค์ที่จะระดมเงินทุนเพื่อนำไปก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนระหว่างสหรัฐกับเม็กซิโก
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัฐบาลรัฐบาลมีขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ประธานาธิบดีเอ็นริเก เปนญา นิเอโตของเม็กซิโก ได้ประกาศยกเลิกการเดินทางเยือนสหรัฐในสัปดาห์หน้า
อย่างไรก็ตาม นายสไปเซอร์ไม่ได้แจกแจงรายละเอียดว่ามาตรการภาษ๊ใหม่นี้จะสัมฤทธิ์ผลได้อย่างไร
เมื่อวานนี้ นายทรัมป์ได้กล่าวในงานเลี้ยงที่ฟิลาเดลเฟียว่า "เรากำลังร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับใหม่ ซึ่งจะช่วยลดการขาดดุลการค้า และเพิ่มยอดส่งออกของสหรัฐ และเราจะนำเงินรายได้จากเม็กซิโกไปสร้างกำแพงหากเราตัดสินใจจะทำเช่นนั้น"
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า ถึงแม้ปธน.ทรัมป์จะมีอำนาจในการออกมาตรการภาษี แต่ทรัมป์ยังไม่สามารถกำหนดภาษีต่อสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกได้ทันที เนื่องจากสหรัฐยังอยู่ภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟต้า) ซึ่งมีข้อผูกมัดในการกำจัดกำแพงภาษีศุลกากรระหว่างสหรัฐฯ แคนาดา และเม็กซิโก
นักวิเคราะห์ระบุว่า หากทรัมป์ต้องการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากชายแดนเม็กซิโก เขาจะต้องนำสหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงนาฟต้าเสียก่อน และจะต้องแจ้งให้ประเทศคู่สัญญาทราบก่อนเป็นเวลา 6 เดือน หลังจากนั้นสหรัฐจึงจะสามารถบังคับใช้มาตรการภาษีกับเม็กซิโกได้ สำนักข่าวซินหัวรายงาน