สถาบันวิจัยงบประมาณอังกฤษ (IFS) เผยรายงานโดยคาดการณ์ว่า รัฐบาลอังกฤษมีแนวโน้มที่จะเดินหน้าแผนการลดรายจ่ายในภาคบริการสาธารณะลงอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2563
เมื่อปีที่แล้ว นายฟิลิป แฮมมอนด์ รัฐมนตรีคลังของอังกฤษ ได้ระบุในแถลงการณ์ว่าด้วยงบประมาณครั้งแรกว่า เขาจะยึดถือแผนการใช้จ่ายของนายจอร์จ ออสบอร์น ซึ่งเป็นรมว.คลังคนก่อนอย่างเคร่งครัด โดยจะมีการลดรายจ่ายด้านบริการสาธารณะลง 4% ในช่วงตลอด 3 ปีข้างหน้า
การตัดสินใจของรมว.แฮมมอนด์ที่จะเดินหน้าลดรายจ่ายภาคบริการและมาตรการลดการขาดดุลนั้น มีขึ้นภายหลังจากที่รัฐบาลได้ใช้มาตรการปรับขึ้นภาษีควบคู่ไปกับการลดรายจ่ายมาเป็นเวลาเกือบ 7 ปี ภายใต้การบริหารของนายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน โดยที่รัฐบาลทั้ง 2 ชุดของนายแฮมมอนด์ต่างต้องดิ้นรนต่อสู้กับผลกระทบที่เกิดขึ้นภายหลังจากเกิดวิกฤตการเงินทั่วโลก
แผนการลดรายจ่ายของแฮมมอนด์สำหรับปี 2562-2563 นั้น นับเป็นสิ่งสำคัญก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในสมัยหน้า โดยที่ผ่านมานั้น รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการลดรายจ่ายเพื่อการลดการขาดดุล มากกว่ามาตรการขึ้นภาษี อย่างไรก็ตาม รายได้ของรัฐบาลจะประกอบด้วยภาษีในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2529-2530
สถาบัน IFS ระบุในรายงานสมุดปกเขียวว่า การใช้จ่ายที่แท้จริงในภาคบริการสาธารณะของรัฐบาลได้ปรับตัวลง 10% นับตั้งแต่ปี 2552 ถึง 2553 "ซึ่งถือเป็นหดตัวลงของรายจ่ายภาคบริการสาธารณะที่มากที่สุดและยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ที่มีการบันทึกมา" สำนักข่าวซินหัวรายงาน