ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐได้เปิดเผยร่างงบประมาณของรัฐบาลฉบับแรก โดยมีการปรับลดงบประมาณขนานใหญ่สำหรับกระทรวงและหน่วยงานของรัฐบาลหลายแห่ง เพื่อนำไปอัดฉีดให้แก่กระทรวงกลาโหม
นายมิค มัลวานีย์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารจัดการและงบประมาณแห่งทำเนียบขาว ระบุในแถลงการณ์ว่า ร่างงบประมาณฉบับดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการลำดับความสำคัญในนโยบายของรัฐบาลสหรัฐภายใต้ปธน.ทรัมป์ ซึ่งให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูเสถียรภาพและความมั่นคงของประเทศชาติ
ทั้งนี้ ในรายละเอียดร่างงบประมาณที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาในสภาคองเกรสนั้น มีการเพิ่มงบประมาณให้แก่บางหน่วยงานสำหรับโครงการที่ปธน.ทรัมป์เคยให้คำมั่นในช่วงหาเสียง โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาลและผ่อนคลายด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดต่างๆ
สำหรับแผนงบประมาณของรัฐบาลฉบับที่เรียกว่า "อเมริกาต้องมาก่อน" นั้น ได้เรียกร้องให้มีการปรับลดงบประมาณจำนวนมากสำหรับหน่วยงานของรัฐบาลกลางหลายแห่ง ซึ่งอาจนำไปสู่การปิดโครงการต่างๆและลดการจ้างพนักงานรัฐสำหรับปีงบประมาณ 2018 ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 1 ต.ค.นี้
แถลงการณ์ร่างงบประมาณระบุว่า รัฐบาลได้เสนอให้มีการปรับลดงบประมาณสำหรับโครงการเงินช่วยเหลือในต่างประเทศของกระทรวงการต่างประเทศรวมถึงโครงการระดับนานาชาติของทั้งองค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศและกระทรวงการคลัง จำนวน 1.01 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือลดลง 28% จากงบประมาณปี 2017
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตร กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ ต่างก็จะถูกปรับลดงบประมาณขนานใหญ่เช่นกัน โดยที่สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมจะถูกตัดงบฯจำนวน 2.6 พันล้านดอลลาร์ หรือ 31.4% จากปีงบประมาณ 2017
อย่างไรก็ตาม เพื่อเสริมสร้างสร้างแสนยานุภาพของกองทัพสหรัฐและยกระดับความมั่นคงตามแนวชายแดน รัฐบาลสหรัฐได้เสนอให้เพิ่มงบประมาณให้แก่กระทรวงกลาโหม จำนวน 5.23 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 10% และเพิ่มงบประมาณให้กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิจำนวน 2.8 พันล้านดอลลาร์ หรือ 6.8% จากงบประมาณปี 2017
อย่างไรก็ตาม นายมัลวานีย์ เปิดเผยว่า ร่างงบประมาณดังกล่าวเป็นเพียงงบประมาณรายจ่ายสำหรับแผนงานหรือโครงการที่พิจารณาอนุมัติให้เป็นรายปี (federal discretionary funding) เท่านั้น ส่วนร่างงบประมาณฉบับสมบูรณ์ซึ่งจะครอบคลุมในส่วนของงบประมาณรายจ่ายตามบทบัญญัติของกฎหมายนั้น จะมีการเปิดเผยในเดือนพฤษภาคมต่อไป
ทั้งนี้ คาดว่าร่างงบประมาณดังกล่าวจะถูกขัดขวางในสภาคองเกรส โดยนางแนนซี เปโลซี ผู้นำเสียงข้างน้อยของพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎร ได้คัดค้านแผนงบประมาณดังกล่าว โดยระบุว่า "การทุ่มงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์ให้กับการป้องกันประเทศ แต่ในขณะเดียวกันกลับถอนเม็ดเงินลงทุนในด้านการจ้างงาน การศึกษา พลังงานสะอาด รวมไปถึงการค้นคว้าวิจัยด้านการแพทย์นั้น จะทำให้ประเทศของเราอ่อนแอลง"
นอกจากพรรคเดโมแครตแล้ว นักการเมืองรีพับลิกันจำนวนมากก็ไม่เห็นด้วยกับการตัดงบประมาณสำหรับกระทรวงการต่างประเทศเช่นกัน
ทั้งนี้ รัฐบาลต้องการเสียงสนับสนุนในวุฒิสภาจำนวน 60 เสียงในการผ่านร่างงบประมาณฉบับดังกล่าว โดยในปัจจุบัน รีพับลิกันครองเก้าอี้ในวุฒิสภา 52 ที่นั่ง ซึ่งหมายความว่า ปธน.ทรัมป์ยังต้องการเสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิกเดโมแครตเพื่อผ่านร่างงบประมาณดังกล่าว