บริษัทโตชิบา คอร์ป ได้แสดงความวิตกเกี่ยวกับศักยภาพในการพลิกฟื้นธุรกิจให้รอดพ้นจากวิกฤตทางการเงินของบริษัทเป็นครั้งแรก หลังจากที่โตชิบาประสบภาวะขาดทุนอย่างหนักในธุรกิจโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในสหรัฐ นอกจากนี้ยังเปิดเผยด้วยว่า ทางบริษัทอาจพิจารณาขายธุรกิจย่อยเพื่อกอบกู้สถานะทางการเงินอันย่ำแย่
เมื่อวานนี้โตชิบาได้เปิดเผยรายงานผลประกอบการของบริษัท โดยระบุว่า กลุ่มบริษัทมียอดขาดทุนสุทธิอยู่ที่ระดับ 5.5241 แสนล้านเยน (5 พันล้านดอลลาร์) ในระหว่างเดือนเม.ย.-ธ.ค. 2559
นอกจากนี้ โตชิบายังขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 5.7628 แสนล้านเยน ขณะที่ยอดขายแตะ 3.85 ล้านล้านเยน ในช่วง 9 เดือนดังกล่าว
บริษัทเปิดเผยด้วยว่า หลังจากที่บริษัทเวสติงเฮาส์ของโตชิบาได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอการพิทักษ์ทรัพย์จากการล้มละลายเมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมานั้น อาจทำให้โตชิบามียอดขาดทุนสุทธิถึง 1.01 ล้านล้านเยน ($9.1 billion) ในปีงบการเงินที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 มี.ค.นี้
นายซาโตชิ สึนากาวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของโตชิบา กล่าวยอมรับว่า "สถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้สร้างความวิตกกังวลเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับความสามารถของบริษัทในการที่จะดำเนินธุรกิจต่อไป"
อย่างไรก็ตาม บริษัทยืนยันว่ายังมีแผนรับมือกับวิกฤตที่เป็นอยู่ โดยหนึ่งในนั้นคือแผนตัดขายหน่วยธุรกิจเซมิคอนคอนดัคเตอร์ของโตชิบา ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจผลิตชิปหน่วยความจำแบบแฟลชสำหรับสมาร์ทโฟนและระบบเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ โดยแหล่งข่าวเปิดเผยว่า บริษัทฟ็อกซ์คอนน์ เทคโนโลยี กรุ๊ปของไต้หวันได้ยื่นข้อเสนอขอซื้อกิจการดังกล่าวจากโตชิบาด้วยวงเงินสูงถึง 3 ล้านล้านเยน
นายสีนากาวะ กล่าวทิ้งท้ายว่า "ผมเชื่อว่าสถานะทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง ถึงแม้ตัวเลขผลประกอบการที่เปิดเผยออกมานั้นจะไม่สู้ดี เนื่องจากเรากำลังพิจารณาตัดขายธุรกิจย่อยของเราให้กับข้อเสนอที่มีมูลค่าสูง"