นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกล่าวแสดงความเห็นว่า มาตรการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการกระตุ้นให้เศรษฐกิจสหรัฐให้ขยายตัวอย่างยั่งยืนที่ระดับ 3% ในอีก 2 ปีข้างหน้านั้น จะเอื้อประโยชน์แค่ในกลุ่มคนรวย ซึ่งรวมถึงนักลงทุนในตลาดหุ้น
ศาสตราจารย์เคนเนธ โรกอฟฟ์ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและอดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวในบทความที่ตีพิมพ์โดย Project Syndicate สัปดาห์นี้ว่า "ตลาดหุ้นอาจสนใจแค่ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ชาวอเมริกันทั้งหลายควรกังวลถึงวิธีการที่จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ตามเป้าหมาย"
ปธน.ทรัมป์ได้แสดงความมั่นใจว่า นโยบายของเขาจะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตในอัตรา 3% ได้อย่างยั่งยืน
กระทรวพาณิชย์ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของสหรัฐขยายตัว 3% ในไตรมาส 2 ของปีนี้ ขณะที่อัตราการขยายตัวในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 2.1%
ศาสตราจารย์โรกอฟฟ์กล่าวว่า "เมื่อพิจารณาจากทิศทางในปีนี้ การขยายตัว 3% ในปีนี้นับว่าไม่ใช่เรื่องที่น่าอัศจรรย์อะไร ปธน.ทรัมป์อาจได้เห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างที่เขาต้องการ โดยเฉพาะถ้าเขาค้นพบแนวทางในการปรับนโยบายเศรษฐกิจให้กลับสู่ภาวะปกติ และแม้ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐจะเติบโตได้ตามเป้าที่ 3% แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ยาครอบจักรวาลอย่างที่ทรัมป์หวังจะให้เป็น"
ศาสตราจารย์โรกอฟฟ์ยังกล่าวด้วยว่า เศรษฐกิจที่ขยายตัวรวดเร็วเช่นนี้ ไม่ได้แปลว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมสรหัฐ โดยคาดว่ากลุ่มคนรวยจะเป็นผู้ที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่า เจ้าของเงินทุนมักจะเป็นผู้รับผลประโยชน์ต่อไป
"นโยบายที่ก่อให้เกิดการแบ่งปันมากขึ้น และนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนนั้น น่าจะเป็นนโยบายที่ดีกว่าการสร้างความเหลื่อมล้ำและความยากบากให้กับชาวอเมริกันส่วนใหญ่" ศาสตราจารย์โรกอฟฟ์กล่าว