ธนาคารโลก หรือ เวิลด์แบงก์ ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก สู่ระดับ 6.4% ในปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.2% จากการคาดการณ์ในเดือนเม.ย. นำโดยเศรษฐกิจจีนที่คาดว่าจะขยายตัว 6.7% ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.2% จากการคาดการณ์ในเดือนเม.ย.
ทั้งนี้ ธนาคารโลกได้เปิดเผยการคาดการณ์ดังกล่าว ในรายงาน "East Asia and Pacific Economic Update" ฉบับล่าสุด ซึ่งไม่นับรวมประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่นญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
ธนาคารโลกระบุว่า อุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชีย ประกอบกับอัตราการเติบโตที่ดีขึ้นของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นปานกลาง และการขยายตัวของการค้าโลกที่ฟื้นตัวขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก
อย่างไรก็ตาม รายงานของธนาคารโลกระบุว่า ภัยคุกคามด้านนิวเคลียร์จากเกาหลีเหนือ และการที่สหรัฐและยุโรปใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินในช่วงเวลาที่รวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้นั้น ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย
นอกจากนี้ รายงานของธนาคารโลกระบุว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากอุตสาหกรรมการส่งออกและการท่องเที่ยวมีการเติบโตที่แข็งแกร่งขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจเวียดนามจะได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวขึ้นของภาคการเกษตรและภาคการผลิต ส่วนเศรษฐกิจอินโดนีเซียจะได้รับปัจจัยหนุนจากค่าแรงที่สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ประกอบไปด้วย กัมพูชา จีน อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย มองโกเลีย เมียนมา ปาปัวนิวกินี ฟิลิปปินส์ ไทย ติมอร์เลสเต เวียดนาม และประเทศต่างๆที่ตั้งอยู่บนเกาะแปซิฟิก