ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ได้ประกาศขึ้นบัญชีดำเกาหลีเหนือในฐานะประเทศที่สนับสนุนก่อการร้าย โดยการนำเกาหลีเหนือเข้าสู่บัญชีรายชื่อดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี หลังจากก่อนหน้านี้ อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้ถอดเกาหลีเหนือออกจากบัญชีรายชื่อประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้ายในเดือนต.ค.2551 หลังจากที่สหรัฐประสบความคืบหน้าในการเจรจาประเด็นอาวุธนิวเคลียร์กับเกาหลีเหนือ
อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างวิเคราะห์ว่า การตัดสินใจดังกล่าวของทรัมป์อาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่บานปลายของทั้ง 2 ประเทศ รวมถึงการทำลายโอกาสที่จะสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในคาบสมุทรเกาหลี
ทั้งนี้ ทรัมป์กล่าวในการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า สหรัฐกำหนดให้บรรจุเกาหลีเหนือกลับเข้าสู่บัญชีรายชื่อประเทศที่สนับสนุนการก่อการร้ายอีกครั้ง เช่นเดียวกับอิหร่าน ซูดาน และซีเรียที่อยู่ในบัญชีรายชื่อประเทศที่สนับสนุนก่อการร้ายด้วยเช่นกัน พร้อมระบุว่า กระทรวงการคลังสหรัฐจะประกาศมาตรการการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือเพิ่มเติม อันเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการการกดดันสูงสุด
บรรดาผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ของทางการสหรัฐต่างถกเถียงกันว่า การดำเนินการดังกล่าวไม่ได้เป็นไปตามบรรทัดฐานของการบรรจุประเทศใดประเทศหนึ่งเข้าสู่บัญชีดำซึ่งต้องมีหลักฐานมายืนยันการกระทำต่างๆ ที่สนับสนุนการก่อการร้ายระดับนานาชาติ
"ความเคลื่อนไหวของสหรัฐในครั้งนี้จะเป็นแค่เพียงสัญลักษณ์ เนื่องจากเกาหลีเหนือถูกคว่ำบาตรอย่างรุนแรงอยู่ก่อนแล้ว" นักวิเคราะห์กล่าวเพิ่มเติม
บทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์โรดอง ซินมุน ของเกาหลีเหนือระบุว่า "สถานการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ว่าสหรัฐพยายามใช้กำลังกดขี่ประเทศเกาหลีเหนือ และยึดอำนาจสูงสุดบนโลกนี้ มิใช่เป็นไปเพื่อเจรจาหาข้อยุติปัญหา สหรัฐควรเลิกหวังล้มๆ แล้งๆ เสียทีว่าเกาหลีเหนือจะยอมอ่อนข้อให้กับการกระทำอันป่าเถื่อนเช่นนี้"
ดาร์เรลล์ เวสต์ นักวิเคราะห์จาก Brookings Institution แสดงทรรศนะว่า การตัดสินใจของทรัมป์จะยิ่งเพิ่มความตึงเครียดให้กับสหรัฐและเกาหลีเหนือ และคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนืออาจใช้เป็นข้ออ้างในการตอบสนองเชิงลบได้
เจนนี ทาวน์ ผู้เชี่ยวชาญจาก Johns Hopkins School of Advanced International Studies ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัว ว่า "แม้การดำเนินการดังกล่าวจะมีผลกระทบทางจิตวิทยา แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีเลย"
ทางด้านแฮร์รี คาเซียนิส ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาด้านการป้องกันประเทศจาก Center for the National Interest กล่าวกว่า การกระทำของทรัมป์มีแต่จะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงโดยไม่มีฝ่ายใดยอมอ่อนข้อให้แก่กัน"