รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังอยู่ในภาวะเฝ้าระวัง หลังจากสามารถตรวจจับคลื่นวิทยูที่บ่งชี้ว่าเกาหลีเหนืออาจกำลังเตรียมยิงขีปนาวุธครั้งใหม่
"เกาหลีเหนืออาจทำการยิงขีปนาวุธในเวลาอีกไม่กี่วัน" แหล่งข่าวกล่าว
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวระบุว่า เนื่องจากภาพถ่ายทางดาวเทียมยังไม่ได้แสดงให้เห็นถึงขีปนาวุธ หรือฐานยิงขีปนาวุธเคลื่อนที่ ดังนั้นคลื่นวิทยูที่ตรวจจับได้จึงอาจแสดงถึงการฝึกซ้อมรบของทหารเกาหลีเหนือในช่วงฤดูหนาว
รายงานดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อสกุลเงินเยนซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเมื่อเวลา 8.39 น. ของวันนี้ ตามเวลาไทย เงินเยนแข็งค่าขึ้น 0.07% สู่ระดับ 111.18 เยน/ดอลลาร์
-- นายเจอโรม พาวเวล ว่าที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่ เปิดเผยว่า เขาคาดว่าเฟดจะเดินหน้าคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไป ในขณะเดียวกันเฟดก็จะผ่อนคลายภาระด้านกฎระเบียบในระบบการเงิน
-- นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม "Asia Securities Forum" วันนี้ โดยนายคุโรดะกล่าวว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการพัฒนาตลาดพันธบัตรในเอเชีย เพื่อกระจายแหล่งการระดมทุนสำหรับบริษัทต่างๆในภูมิภาค
นายคุโรดะกล่าวว่า การพัฒนาตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพและมีสภาพคล่องที่ดีนั้น ถือเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนี้ นายคุโรดะยังกล่าวว่า ด้วยโอกาสการลงทุนที่เพิ่มขึ้น เม็ดเงินออมที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในเอเชียจะถูกนำมาหมุนเวียนใช้จ่ายภายในภูมิภาค และจะช่วยรองรับความต้องการในการระดมทุนจำนวนมากสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน
--บิตคอยน์ ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัล ทะยานแตะระดับ 9,682.10 ดอลลาร์วานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากพุ่งทะลุ 9,400 ดอลลาร์เมื่อวันอาทิตย์ (26 พ.ย.)
นักวิเคราะห์ระบุว่า บิตคอยน์ได้รับปัจจัยหนุนจากคำสั่งซื้อของลูกค้ารายย่อย โดย Coinbase ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายบิตคอยน์ที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เปิดเผยว่า ลูกค้ารายย่อยได้เปิดบัญชีราว 100,000 บัญชีในระหว่างวันพุธและและวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า สู่ระดับ 13.1 ล้านบัญชี
บิตคอยน์ยังคงได้รับปัจจัยบวก จากข่าวที่ว่า Chicago Mercantile Exchange (CME) ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์สที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยว่า ทางตลาดมีแผนที่จะเปิดการซื้อขายสัญญาบิตคอยน์ภายในเดือนหน้า ซึ่งจะทำให้บิตคอยน์ได้รับการยอมรับในฐานะสินทรัพย์ที่ถูกกฎหมาย
--กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้นสวนทางคาดการณ์ในเดือนต.ค. โดยดีดตัวขึ้น 6.2% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 685,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2550 หลังจากแตะระดับ 645,000 ยูนิตในเดือนก.ย.
การเพิ่มขึ้นของยอดขายบ้านใหม่ในเดือนต.ค. ส่งผลให้ยอดขายปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน
--นักลงทุนยังคงจับตาความคืบหน้าแผนปฏิรูปภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ โดยวุฒิสภาจะลงมติต่อร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีในวันพฤหัสบดีนี้ หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติให้การอนุมัติร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีในวันที่ 16 พ.ย. แต่มีเนื้อหาแตกต่างจากฉบับของวุฒิสภาในหลายประเด็น
หากวุฒิสภาให้การอนุมัติร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีในวันพฤหัสบดีนี้ หลังจากนั้น วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรก็จะต้องนำร่างกฎหมายของทั้ง 2 สภามาปรับปรุงแก้ไขให้เป็นร่างกฎหมายฉบับเดียวกัน ก่อนที่จะส่งต่อให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามรับรองให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป ขณะที่ปธน.ทรัมป์กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เขาจะมอบการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ เป็นของขวัญสำหรับชาวอเมริกันในวันคริสต์มาสปีนี้
--การประชุมกลุ่มประเทศโอเปก และนอกกลุ่มโอเปกที่กรุงเวียนนาจะเปิดฉากขึ้นในวันพฤหัสบดีนี้ (30 พ.ย.) โดยที่ประชุมจะมีการหารือกันเกี่ยวกับการขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน รายงานระบุว่า ซาอุดิอาระเบียและรัสเซียต่างก็สนับสนุนให้มีการขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปอีก 9 เดือนจนถึงสิ้นปีหน้า จากเดิมที่มีกำหนดสิ้นสุดในไตรมาสแรกของปีหน้า
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า หากสมาชิกโอเปกเห็นพ้องกันเกี่ยวกับการขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปอีก 9 เดือนจนถึงสิ้นปีหน้า ก็จะส่งผลให้ตลาดเผชิญภาวะขาดแคลนน้ำมันราว 830,000 บาร์เรล/วันในปีหน้า เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะขาดแคลน 310,000 บาร์เรล/วัน
--รัฐสภาอังกฤษมีกำหนดจะอภิปรายร่างกฎหมายว่าด้วยการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ในวันที่ 4 ธ.ค. โดยร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งเผชิญเสียงคัดค้านในรัฐสภานั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อตัดความสัมพันธ์ทางด้านการเมือง การเงิน และด้านกฎหมาย กับทาง EU
นอกจากนี้ นางเมเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะพบปะกับนายฌอง-คล็อด ยุงเกอร์ ประธาน EC และนายมิเชล บาร์นิเยร์ หัวหน้าคณะเจรจา Brexit ฝ่าย EU ในวันที่ 4 ธ.ค.
-- นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจยุโรปและสหรัฐในวันนี้ อาทิ ดัชนีราคาบ้านในอังกฤษเดือนพ.ย.จากเนชั่นไวด์ และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเยอรมนีเดือนธ.ค.โดยสถาบัน GfK ขณะที่ฝั่งสหรัฐจะเปิดเผยราคาบ้านเดือนก.ย.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.จาก Conference Board และดัชนีการผลิตเดือนพ.ย.โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาริชมอนด์