นักเศรษฐศาสตร์ชั้นแนวหน้าของเยอรมนีหลายรายได้ออกมาเตือนถึงผลลบจากแผนปฏิรูปภาษีของรัฐบาลสหรัฐที่มีต่อเศรษฐกิจเยอรมนี
นายเคลเมนส์ ฟืสต์ ประธานของ Ifo ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจของเยอรมนี แถลงต่อสื่อมวลชนว่า รัฐบาลสหรัฐกำลังเดินหน้าตาม "แนวโน้มทั่วโลกในเรื่องการปรับลดภาษี" ซึ่งล่าสุดสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติเห็นชอบต่อร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้าย ก่อนที่จะส่งต่อไปยังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เพื่อลงนามให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย
"สิ่งนี้จะยกระดับการแข่งขันในแง่การลงทุนและการจ้างงาน" นายฟืสต์กล่าว
ร่างกฎหมายดังกล่าวครอบคลุมถึงการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ลงสู่ระดับ 21% จากระดับ 35% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ทันทีในวันที่ 1 ม.ค.ปีหน้า
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆแล้ว อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยเฉลี่ยของกลุ่มชาติสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) นั้นปัจจุบันอยู่ที่ 25%
นายโจชิม แลง ผู้อำนวยการสภาอุตสาหกรรมเยอรมนี (BDI) เปิดเผยเพิ่มเติมว่า กฎระเบียบใหม่ในแง่การตัดจำหน่ายและกิจกรรมการพาณิชย์ข้ามชาตินั้น จะก่อให้เกิด "สิ่งจูงใจครั้งสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจย้ายการดำเนินงานและเงินลงทุนไปยังสหรัฐอเมริกา"
ด้านนายราล์ฟ วีเชอร์ส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำสภาวิศวกรเยอรมนี (VDMA) ได้เรียกร้องให้รัฐบาลเยอรมนีออกมารับมือ "อย่างสร้างสรรค์" ด้วยการลดภาระทางการเงินของบริษัทต่างๆในเยอรมนี หากรัฐบาลต้องการป้องกันไม่ให้แรงงานและธุรกิจย้ายไปสหรัฐอเมริกา
นอกเหนือจากการลดภาษีแล้ว นายวีเชอร์สยังได้เสนอให้มีการออกมาตรการช่วยเหลือในรูปแบบใหม่ เพื่ออุดหนุนโครงการวิจัยของกลุ่มบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม
นักเศรษฐศาสตร์รายนี้ให้ความเห็นว่า "เมื่อรายได้จากการเก็บภาษีของเยอรมนีทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์แล้ว ก็ทำให้เกิดโอกาสในการปฏิรูปโครงสร้างทางการคลังอย่างชาญฉลาด"