ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อวันศุกร์ (22 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนถึงวันหยุดเทศกาลคริสต์มาส โดยดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลง 0.11% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ลดลง 0.08% และดัชนี S&P500 ขยับลง 0.05%
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างวันนั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากความสำเร็จในการผลักดันร่างกฎหมายปฏิรูประบบภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และพรรครีพับลิกัน หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบต่อร่างกฎหมายดังกล่าวด้วยคะแนนเสียง 224 ต่อ 201 เสียง และวุฒิสภาลงมติอนุมัติด้วยคะแนนเสียง 51 ต่อ 48 เสียง โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่าน มา ปธน.ทรัมป์ได้ลงนามรับรองเพื่อบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวอย่างเป็นทางการในเดือนม.ค.ปีหน้า
-- ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อวันศุกร์ (22 ธ.ค.) หลังจากพรรคการเมืองที่สนับสนุนให้แคว้นกาตาลุญญาแยกตัวเป็นเอกราชจากสเปน ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งท้องถิ่นแคว้น กาตาลุญญา ส่งผลให้เกิดความกังวลว่าสเปนจะกลับมาเผชิญวิกฤตทางการเมืองอีกครั้ง ซึ่งจะบั่นทอนเสถียรภาพของยุโรปด้วย โดยความวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าวได้ฉุดดัชนี IBEX 35 ตลาดหุ้นสเปน ดิ่งลง 1.2% ปิดที่ระดับ 10,182 จุดเมื่อวันศุกร์ ซึ่งถือเป็นการร่วงลงมากที่สุดในรอบหนึ่งวันนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนต.ค.ที่ผ่านมา
-- สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีเริ่มกลับมาอยู่ในความสนใจของตลาดการเงินอีกครั้ง หลังจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) มีมติเป็นเอกฉันท์ 15 ต่อ 0 ใน การผ่านมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือรอบใหม่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยลดการส่งออกน้ำมันไปยังเกาหลีเหนือ และเพิ่มความเข้มงวดในการสกัดการลักลอบขนส่งและใช้แรงงานเกาหลี เหนือในต่างประเทศ เพื่อตอบโต้เกาหลีเหนือกรณีทดสอบขีปนาวุธเมื่อวันที่ 29 พ.ย. ที่ผ่านมา
ทางด้านเกาหลีเหนือออกมาประกาศเมื่อวานนี้ว่า จะไม่ยอมรับมาตรการคว่ำบาตรชุดใหม่ของ UNSC อย่างเด็ดขาด พร้อมประกาศลั่นว่าจะเพิ่มการป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ (nuclear deterrence) เพื่อป้องกันตนเอง นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือกล่าวว่า การคว่ำบาตรที่นำโดยสหรัฐนั้นเป็นการละเมิดอธิปไตยของประเทศอย่างร้าย แรง และยืนยันว่าอาวุธนิวเคลียร์ถือเป็นการป้องกันตนเอง ซึ่งไม่ขัดแย้งกับกฎหมายสากล
-- พายุไต้ฝุ่น "เทมบิน" ได้พัดถล่มเกาะมินดาเนา ทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดเหตุน้ำท่วมหนักและดินถล่ม และล่าสุดมีผู้เสียชีวิตราว 200 คน และสูญหายอีกหลายสิบคน
ทางด้านนายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อการสูญเสียชีวิตและความเสียหายรุนแรงจากพายุโซน ร้อน "เทมบิน" พร้อมกับยืนยันว่า องค์การสหประชาชาติพร้อมให้การสนับสนุนรัฐบาลฟิลิปปินส์และหน่วยงานท้องถิ่น นอกเหนือไปจากการให้การสนับสนุนผ่านทางพันธมิตรด้าน มนุษยธรรมที่ดำเนินอยู่แล้วในเวลานี้
-- นักลงทุนจับตาความเคลื่อนไหวของสกุลเงินบิตคอยน์อย่างใกล้ชิด หลังจากบิตคอยน์ดิ่งลงต่ำกว่าระดับ 12,000 ดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ จากการที่นักลงทุนแห่เทขาย หลังจากที่ผู้ เชี่ยวชาญออกมาเตือนเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ของบิตคอยน์
ทั้งนี้ บิตคอยน์ทรุดตัวลงมากกว่า 25% แตะระดับ 11,159 ดอลลาร์ในวันศุกร์ ในการซื้อขายบนแพลทฟอร์ม Bitstamp ซึ่งเป็นการดิ่งลงมากที่สุดภายในวันเดียวในรอบเกือบ 3 ปี
ส่วน Coinbase ซึ่งเป็นแพลทฟอร์มซื้อขายบิตคอยน์ขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐ ประกาศระงับการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลเป็นการชั่วคราวในวันศุกร์ หลังจากที่ราคาได้แกว่ง ตัวอย่างรุนแรง
-- ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีกำหนดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนธ.ค.ในวันพรุ่งนี้ หลังจากคณะกรรมการ BOJ มีมติด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 1 ให้คงนโยบายการเงิน เชิงรุกต่อไป ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ -0.1% พร้อมกับประกาศเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตร โดยมีเป้าหมายที่จะรักษาอัตราผล ตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อระยะยาว ให้เคลื่อนไหวที่ระดับ 0%
ทางด้านนายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการ BOJ ได้กล่าวแสดงความเห็นเกี่ยวกับ "บิตคอยน์" ภายหลังการประชุม BOJ ในวันดังกล่าวว่า มูลค่าที่พุ่งขึ้นอย่างมากของบิตคอยน์ในช่วง หลัง เป็นเรื่องที่ "ผิดปกติ" พร้อมกล่าวเสริมว่า บิตคอยน์ไม่เหมือนกับสกุลเงินทั่วไป เพราะยังไม่มีการกำกับดูแลโดยธนาคารกลางหรือรัฐบาลอย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังไม่สามารถนำไป ชำระค่าสินค้าและบริการ หรือชำระหนี้ตามกฎหมายได้เหมือนกับเงินที่เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนทั่วไป
-- ตลาดหุ้นสหรัฐ และตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในยุโรปปิดทำการในวันนี้ เนื่องในวันคริสต์มาส ส่วนตลาดหุ้นหลายแห่งในเอเชีย ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นออสเตรเลีย ฮ่องกง มาเลเซีย จะปิด ทำการในวันนี้เช่นกัน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศต่างๆซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพรุ่งนี้ ได้แก่ อัตราว่างงานเดือนพ.ย.และอัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย.ของญี่ปุ่น ขณะที่สิงคโปร์จะเปิดเผย อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย. และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย. ส่วนสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาบ้านเดือนต.ค.โดยเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค. และดัชนี ภาคการผลิตเดือนธ.ค. จากเฟดดัลลัส