ที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) เปิดเผยว่า กฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปลายปีที่แล้วนั้น จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ทั่วโลก
รายงาน Global Investment Trends Monitor ฉบับพิเศษของ UNCTAD ระบุว่า กฎหมายปรับลดภาษีจะส่งผลกระทบต่อบริษัทข้ามชาติและเครือบริษัทจากต่างประเทศซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 50% ของมูลค่า FDI โดยรวมทั่วโลก
นายเจมส์ จาง ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนของ UNCTAD กล่าวว่า "เมื่อพิจารณาจากสถิติที่มีการปรับลดภาษีที่เก็บจากการส่งเงินกลับประเทศก็พบว่า บริษัทข้ามชาติอาจจะส่งเงินกลับมาเกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่า FDI ทั่วโลกลดลงเป็นอย่างมาก
UNCTAD กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงระบบภาษีนิติบุคคลจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทั้งการลงทุนในสหรัฐและการลงทุนของบริษัทสหรัฐในต่างประเทศ ขณะที่มูลค่า FDI ทั่วโลกเกือบครึ่งอยู่ในสหรัฐหรือของบริษัทข้ามชาติของสหรัฐ
เมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติเห็นชอบต่อร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้าย ด้วยคะแนนเสียง 224 ต่อ 201 เสียง
ทั้งนี้ ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้าย มาจากการรวมเนื้อหาของร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีที่ผ่านการอนุมัติของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรก่อนหน้านี้ โดยร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้ายจะยังคงจำนวนขั้นบันไดของการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้ที่ 7 ขั้น คือที่ระดับ 10%, 12%, 22%, 24%, 32%, 35% และ 37% โดยลดอัตราภาษีขั้นสูงสุดสู่ระดับ 37% จากระดับ 39.6% ขณะเดียวกัน จะปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ลงสู่ระดับ 21% จากระดับ 35% โดยมีผลบังคับใช้ทันทีในวันที่ 1 ม.ค.ปีหน้า แทนที่จะชะลอออกไปอีก 1 ปีตามร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของวุฒิสภา
ร่างกฎหมายดังกล่าวถือเป็นการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ที่สุดของสหรัฐนับตั้งแต่ปี 2529 หรือกว่า 30 ปี และจะถือเป็นชัยชนะครั้งแรกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรสนับตั้งแต่ที่ปธน.ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในเดือนม.ค.