รายงานการประชุมยังระบุด้วยว่า ข้อมูลเงินเฟ้อที่กรรมการเฟดได้รับมา ประกอบกับข้อมูลที่บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องนั้น ได้ช่วยสนับสนุนมุมมองที่ว่า อัตราเงินเฟ้อจะดีดตัวขึ้นในปี 2561 โดยกรรมการเฟดเกือบทุกคนคาดว่า ในระยะกลางนี้ อัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% เนื่องจากเศรษฐกิจมีการขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดไว้ และตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง
-- นายแพทริก ฮาร์เกอร์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย กล่าวว่า เขายังคงคิดว่า เป็นการเหมาะสมที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปีนี้ แต่เขาก็เปิดกว้างต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 2 ครั้ง หากมีความจำเป็น
"เมื่อพิจารณาถึงเศรษฐกิจที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ ผมจึงคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้" นายฮาร์เกอร์กล่าว
"แต่ข้อมูลเศรษฐกิจก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งบางครั้งก็ไม่ได้บ่งชี้ถึงเหตุการณ์ในอนาคตเสมอไป" เขากล่าว
ตลาดการเงินคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ โดยจะปรับขึ้นครั้งแรกในการประชุมเดือนหน้า
-- นายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาดัลลัส กล่าวว่า เฟดควรเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ เพื่อรับมือกับเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวมากขึ้น ซึ่งได้รับแรงหนุนจากมาตรการปรับลดอัตราภาษี รวมทั้งเศรษฐกิจโลกที่แข็งแกร่ง
"ผมเชื่อว่าเฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และอย่างอดทนในปีนี้" นายแคปแลนระบุในบทความที่แสดงถึงมุมมองของเขาเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายของเฟด
-- ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (21 ก.พ.) หลังจากรายงานการประชุมประจำเดือนม.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐจะดีดตัวขึ้นในปีนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไป
ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 107.79 เยน จากระดับ 107.29 เยน แต่ขยับลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9348 ฟรังก์ จากระดับ 0.9359 ฟรังก์
-- นายเควิน แฮสเซทท์ นักเศรษฐศาสตร์ของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจจากทำเนียบขาว ระบุในรายงานเศรษฐกิจประจำปีว่า สหรัฐจะสามารถบรรลุอัตราการเติบโต 3% ต่อปีในช่วงทศวรรษนี้ ถ้าหากมีการบังคับใช้นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับการผ่อนคลายกฎระเบียบ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
ทั้งนี้ รายงานระบุว่า นโยบายกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของปธน.ทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการปรับลดอัตราภาษี และการผ่อนคลายกฎระเบียบ ได้ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจ และทำให้มีการคาดหวังว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจจะยังคงดำเนินต่อไป
-- นายแอนดี ฮาลเดน หัวหน้านักวิเคราะห์ของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ระบุในรายงานต่อรัฐสภาอังกฤษว่า BoE อาจจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้
นายฮาลเดนระบุว่า เศรษฐกิจอังกฤษอาจจะมีการขยายตัวมากกว่าที่ BoE คาดการณ์ไว้ในช่วงต้นเดือนนี้ ซึ่งจะทำให้ BoE ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะปรับขึ้น 3 ครั้งในช่วงเวลา 3 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 0.75% ในเดือนพ.ค. และมีโอกาส 70% ที่ BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีก 0.25% สู่ระดับ 1.0% ในปีนี้
-- สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองร่วงลง 3.2% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 5.38 ล้านยูนิต จากระดับ 5.56 ล้านยูนิตในเดือนธ.ค. โดยยอดขายบ้านร่วงลงทุกภูมิภาค
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่ายอดขายบ้านมือสองจะเพิ่มขึ้น 0.8% สู่ระดับ 5.60 ล้านยูนิตในเดือนม.ค.
-- ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต และภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ พุ่งขึ้นสู่ระดับ 55.9 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 27 เดือน จากระดับ 53.8 ในเดือนม.ค.
ดัชนียังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐยังคงมีการขยายตัว โดยได้แรงหนุนจากการจ้างงาน และคำสั่งซื้อใหม่
ส่วนดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้น อยู่ที่ 55.9 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 เดือน จากระดับ 55.5 ในเดือนม.ค.
สำหรับดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น อยู่ที่ 55.9 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน จากระดับ 53.3 ในเดือนม.ค.
-- นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศต่างๆในวันนี้ โดยฝรั่งเศสจะเปิดเผยความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเดือนก.พ. และอัตราเงินเฟ้อเดือนม.ค. ขณะที่สถานบัน Ifo จะเปิดเผยความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนก.พ.ของเยอรมนี ส่วนอังกฤษจะเปิดเผยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4/2560 ทางด้านสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ส่วนในวันพรุ่งนี้ ญี่ปุ่นและสิงคโปร์จะเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อเดือนม.ค. ขณะที่เยอรมนีจะเปิดเผยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4/2560 และยูโรสแตทจะเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อเดือนม.ค.ของยูโรโซน