ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ (5 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับสงครามการค้า หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณว่า สหรัฐอาจยกเลิกการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเทคโนโลยี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,874.76 จุด พุ่งขึ้น 336.70 จุด หรือ +1.37% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,720.94 จุด เพิ่มขึ้น 29.69 จุด หรือ +1.10% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,330.70 จุด เพิ่มขึ้น 72.84 จุด หรือ +1.00%
--ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความเป็นนัยว่า สหรัฐอาจยกเลิกการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม อย่างน้อยที่สุดสำหรับแคนาดาและเม็กซิโก หากมีการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ที่เป็นธรรม
"สหรัฐจะยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม ก็ต่อเมื่อมีการลงนามในข้อตกลง NAFTA ใหม่ที่เป็นธรรม โดยเราขาดดุลการค้าจำนวนมากกับเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งข้อตกลง NAFTA ที่กำลังมีการเจรจากันในขณะนี้ เป็นข้อตกลงที่ไม่ดีสำหรับสหรัฐ ทำให้มีการโยกย้ายการจ้างงานและบริษัทออกจากสหรัฐ"
--อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ว่า ตนจะ "ไม่ยอมเดินถอยหลัง" ในเรื่องแผนเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมที่กำลังเป็นประเด็นถกเถียงขณะนี้
ทรัมป์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "เราจะไม่ยอมเดินถอยหลัง" หลังจากที่ก่อนหน้านั้น เขาได้ประกาศว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และอลูมิเนียม 10% ในสัปดาห์นี้ โดยมาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะปกป้องภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐ
สำหรับคำถามที่ว่ามาตรการดังกล่าวจะก่อให้เกิดสงครามการค้าหรือไม่ ทรัมป์ ตอบว่า "ผมไม่คิดว่าสงครามการค้าจะเกิดขึ้น"
--สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกในยูโรโซนเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนม.ค. โดยปรับตัวขึ้น 2.3% เมื่อเทียบรายปี ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.1%
ยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นในเดือนม.ค.ได้แรงหนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่อาหาร โดยเฉพาะในอินเทอร์เน็ต
--กระทรวงมหาดไทยอิตาลีแถลงว่า ผลการนับคะแนนเลือกตั้งในช่วงแรกพบว่าไม่มีพรรคการเมือง หรือกลุ่มพรรคการเมืองใดสามารถครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะส่งผลให้อิตาลีเผชิญกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ขณะที่นักการเมืองทำการเจรจาจัดตั้งรัฐบาล
ทั้งนี้ ผลการนับคะแนนบางส่วนพบว่า กลุ่มพรรคการเมืองที่นำโดยพรรคฟอร์ซา อิตาเลีย ของนายซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี อดีตนายกรัฐมนตรีของอิตาลี จะได้ที่นั่งรวมกันในสภาผู้แทนราษฎรคิดเป็นสัดส่วน 36.0-36.5%
--คณะกรรมการดูแลเสถียรภาพการเงิน (FSB) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับระบบการเงินโลก เปิดเผยว่า สินเชื่อของธนาคารเงาของจีนในขณะนี้มีมูลค่า 7 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็น 15% ของสินเชื่อทั่วโลกที่ออกโดยผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) ซึ่งมีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้น 45.2 ล้านล้านดอลลาร์
--สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) เปิดเผยรายงานแนวโน้มภาวะตลาดน้ำมันประจำปี 2561 เมื่อวานนี้ โดยคาดการณ์ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งทั่วโลกจะยังคงสนับสนุนการใช้น้ำมันอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2566 ซึ่งนอกจากการผลิตที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐแล้ว การผลิตน้ำมันจากแคนาดา บราซิล และนอร์เวย์ ก็จะช่วยรองรับความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นจนถึงปี 2563
IEA คาดการณ์ว่า ในช่วง 5 ปีข้างหน้า สหรัฐจะหลุดจากรายชื่อประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยจีนและอินเดียจะครองตำแหน่งดังกล่าว ขณะที่การนำเข้าน้ำมันในเอเชียจะเพิ่มขึ้น 3.5 ล้านบาร์เรล/วันจนถึงปี 2566 โดยตะวันออกกลางจะยังคงเป็นซัพพลายเออร์น้ำมันรายใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชีย แต่จากการที่จีนได้เพิ่มการกลั่นน้ำมัน ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้สหรัฐส่งออกน้ำมันดิบมากขึ้นเช่นกัน
--จับตาธนาคารกลางออสเตรเลียเตรียมแถลงมติอัตราดอกเบี้ยในวันนี้ เวลา 10.30 น.ตามเวลาไทย
สำหรับในการประชุมเมื่อวันที่ 6 ก.พ. ที่ผ่านมา ธนาคารกลางออสเตรเลียมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.5% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาดการเงิน
ธนาคารกลางออสเตรเลียได้คงอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 16 ครั้งติดต่อกัน โดยระบุว่าการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียยังคงส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ส่งออก และยังคงสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ
-- สำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลีย (ABS) รายงานในวันนี้ว่า ยอดค้าปลีกเดือนม.ค. ขยับขึ้น 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% เนื่องจากยอดขายในห้างสรรพสินค้าซบเซาลง
ทั้งนี้ แม้ยอดค้าปลีกเดือนม.ค.ฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่หดตัวลง 0.5% ในเดือนธ.ค. แต่ตัวเลขดังกล่าวขยายตัวต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ เนื่องจากยอดขายในห้างสรรพสินค้า เช่น สินค้าสำหรับครัวเรือน กระเตื้องขึ้นเพียง 0.1% ขณะที่ยอดขายเสื้อผ้าและรองเท้า ปรับตัวลดลง 0.7%
-- สำนักงานสถิติแห่งชาติเกาหลีใต้เปิดเผยในวันนี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.พ. ปรับตัวขึ้น 1.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 1.2%
รายงานของสำนักงานสถิติฯเกาหลีใต้ระบุว่า ดัชนี CPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญนั้น ฟื้นตัวขึ้นในเดือนก.พ. หลังจากที่ดัชนีได้หดตัวลง 1% ในเดือนม.ค. โดยปัจจัยที่ทำให้ดัชนี CPI ดีดตัวขึ้นสูงกว่าการคาดการณ์นั้น มาจากราคาอาหารสดซึ่งปรับตัวขึ้น 2.2%
-- ธนาคารกลางเกาหลีใต้เปิดเผยในวันนี้ว่า ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเดือนก.พ.ปรับตัวลง 960 ล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 3.948 แสนล้านดอลลาร์ จากระดับของเดือนม.ค.ที่ 3.9575 แสนล้านดอลลาร์
ธนาคารกลางเกาหลีใต้ระบุว่า สาเหตุที่ทำให้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศลดลงในเดือนก.พ.นั้น มาจากการที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ซึ่งส่งผลให้มูลค่าของสกุลเงินอื่นๆปรับตัวลดลงเมื่อแปลงค่าเป็นสกุลเงินดอลลาร์
--นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจ โดยสหรัฐจะเปิดเผยยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนม.ค.ในวันนี้
ส่วนในวันพรุ่งนี้ ออสเตรเลียจะเปิดเผยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4/2560 จีนจะเปิดเผยทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเดือนก.พ. ฝรั่งเศสจะเปิดเผยดุลการค้าเดือนม.ค. อังกฤษจะเปิดเผยดัชนีราคาบ้านเดือนก.พ.โดยฮาลิแฟ็กซ์ และอียูจะเปิดเผยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4/2560 (ประมาณการครั้งที่ 3) ทางด้านสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.พ.จาก ADP ดุลการค้าเดือนม.ค. และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)