นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์และการค้าของสหรัฐเปิดเผยว่า มาตรการในการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะช่วยบรรเทาปัญหาในระยะสั้นเท่านั้น แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาในระยะยาวได้
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตราสูงถึง 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และคุมเข้มการลงทุนของจีนในสหรัฐ เพื่อเป็นการลงโทษจีน ฐานละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
ด้านศาสตราจารย์แคห์รี ทวร์ก จากวิทยาลัยบริหารธุรกิจสจ๊วร์ต ของสถาบันเทคโนโลยีอิลลินอยส์ กล่าวว่า การตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ในการกำหนดเงื่อนไขต่อการลงทุนของจีนในสหรัฐอเมริกา จะเป็นการยับยั้งการสร้างงานใหม่ให้กับคนในประเทศด้วย
นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เรียกร้องให้มีการสร้างงานในประเทศมากยิ่งขึ้น แต่ความเคลื่อนไหวดังกล่าวขัดกับนโยบายของตัวเอง ซึ่งเป็นการพัฒนาไปในทางลบ ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่การเรียกเก็บภาษี แต่เกี่ยวกับการถ่ายทอดความรู้ทางเทคโนโลยีเนื่องจากชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยอ้างว่าจีนขโมยเทคโนโลยีของอเมริกา และต้องการที่จะจำกัดการลงทุนของจีน ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง
ศาสตราจารย์ทวร์กกล่าวด้วยว่า รัฐบาลสหรัฐเชื่อว่ามาตรการดังกล่าวเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการสร้างสมดุลให้กับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน แต่ก็ไม่ใช่สาเหตุหลัก เนื่องจากอเมริกาไม่ต้องรัดเข็มขัด ดังนั้นจึงต้องนำเข้าทรัพยากรและผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน ผู้กำหนดนโยบายของสหรัฐเองก็ขาดวิสัยทัศน์ในระยะยาว เนื่องจากวิธีการที่ดีที่สุดในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศคือการเพิ่มผลผลิต แต่ต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่าย สำหรับบรรดานักการเมืองในการบังคับใช้มาตรการบางอย่างเพื่อบรรเทาปัญหา แต่ก็ไม่สามารถเยียวยาที่ต้นตอได้