ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ (30 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในอิตาลี หลังจากมีรายงานว่าพรรคการเมืองใหญ่ของอิตาลีกำลังร่วมมือกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ทะยานขึ้นกว่า 2% เมื่อคืนนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กกลับมาคึกคักอีกครั้ง เนื่องจากสถานการณ์การเมืองในอิตาลีเริ่มสัญญาณในด้านบวก หลังจากสองพรรคการเมืองใหญ่ของอิตาลีอย่างพรรค 5-Star Movement (M5S) และพรรค League ได้แสดงความตั้งใจที่จะจัดตั้งรัฐบาลผสม นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับความสำเร็จในการออกพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลอิตาลี โดยเมื่อวานนี้ รัฐบาลอิตาลีสามารถจำหน่ายพันธบัตรระยะยาวเป็นวงเงินรวม 5.57 พันล้านยูโร (6.49 พันล้านดอลลาร์) ซึ่งช่วยให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของรัฐบาล
-- ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ "Beige Book" เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวปานกลางในช่วงปลายเดือนเม.ย.จนถึงต้นเดือนพ.ค. โดยภาคการผลิตพลิกกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้น
"กว่าครึ่งหนึ่งของเขตเศรษฐกิจทั้ง 12 เขตที่เฟดทำการสำรวจนั้น มีกิจกรรมด้านการผลิตที่ 'กระเตื้องขึ้น' ขณะที่ 1 ใน 3 รายงานว่า กิจกรรมด้านการผลิต 'มีความแข็งแกร่ง' โดยอุตสาหกรรมการผลิตโลหะผสม เครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรมหนัก และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีการขยายตัวที่แข็งแกร่ง ซึ่งการผลิตสินค้าที่เพิ่มขึ้นนั้น ส่งผลให้ปริมาณการขนส่งสินค้าของบริษัทขนส่งปรับตัวขึ้นด้วย" เฟดเปิดเผยในรายงาน Beige Book ซึ่งได้ทำการสำรวจข้อมูลจนถึงวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา
-- สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนพ.ค. ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 54.9 จากระดับ 54.8 ในเดือนเม.ย.
ส่วนดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพ.ค. ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 51.9 จากระดับ 51.4 ในเดือนเม.ย.
-- นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐ และนายคิม ยอง ชอล รองประธานคณะกรรมาธิการพรรคแรงงานเกาหลีเหนือ ได้พบปะหารือกันที่กรุงนิวยอร์กเมื่อวานนี้ตามเวลาสหรัฐ ในขณะที่ทั้งสองประเทศกำลังเร่งรัดกระบวนการเตรียมความพร้อมเพื่อให้การประชุมสุดยอดระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐ และนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ สามารถดำเนินไปได้ตามกำหนดเดิม
ทั้งนี้ นายคิม ยอง ชอล นับเป็นเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือระดับสูงสุดที่ได้เดินทางมายังสหรัฐในรอบเกือบ 20 ปี และเขาถือเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการเจรจากับเกาหลีใต้ และสหรัฐในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ นายคิม ยอง ชอล ยังถูกมองว่าเป็นมือขวาของนายคิม จอง อึน โดยเขาเป็นเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือเพียงคนเดียวที่ได้เข้าร่วมการประชุมพร้อมกับนายคิม จอง อึนในการประชุมกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน และนายมูน แจ อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้
-- กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1 ที่ระดับ 2.2% ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.3% และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวที่ระดับ 2.3%
ทั้งนี้ ในปี 2560 เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 1.4% ในไตรมาสแรก, 3.1% ในไตรมาส 2, 3.2% ในไตรมาส 3 และ 2.9% ในไตรมาส 4
-- ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 178,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 190,000 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ ADP ได้ปรับลดตัวเลขการจ้างงานในเดือนเม.ย. สู่ระดับ 163,000 ตำแหน่ง จากเดิมรายงานที่ระดับ 204,000 ตำแหน่ง
-- ธนาคารกลางแคนาดาประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.25% ขณะส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยระบุว่า เศรษฐกิจแคนาดามีความแข็งแกร่งกว่าที่คาดในไตรมาสแรก
นอกจากนี้ ธนาคารกลางยังระบุว่า ทางธนาคารจะปรับนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยจะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ธนาคารได้รับ
ทั้งนี้ ธนาคารกลางได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าทางธนาคารจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้งในปีนี้
-- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า เขาหวังว่าบริษัทเวชภัณฑ์ขนาดใหญ่จะประกาศปรับลดราคายาลงภายในเวลา 2 สัปดาห์ แต่เขาไม่ได้ระบุรายละเอียดแต่อย่างใด
"คุณจะได้เห็นข่าวใหญ่ ผมคิดว่าเราจะเห็นบริษัทยาขนาดใหญ่ประกาศลดราคาภายในเวลา 2 สัปดาห์ อันเนื่องจากมาตรการที่เราได้ดำเนินการ โดยพวกเขาจะประกาศลดราคายาลงอย่างมากโดยสมัครใจ" ปธน.ทรัมป์กล่าว
-- กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย.ขยายตัว 0.3% จากเดือนก่อนหน้า
ส่วนดัชนีการขนส่งในภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวขึ้น 1.8% สู่ระดับ 103.3 และดัชนีสต็อกสินค้าคงคลังภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวลง 0.4% แตะที่ระดับ 113.0
-- สื่อต่างประเทศรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ซาอุดิอาระเบีย, กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศนอกกลุ่มโอเปก จะยังไม่เพิ่มกำลังการผลิตจนถึงสิ้นปีนี้ โดยกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันยังคงมีความพึงพอใจต่อข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน ซึ่งจะสิ้นสุดในปลายปีนี้
รายงานยังระบุด้วยว่า กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันอาจจะขยายเวลาของข้อตกลงดังกล่าวออกไปอีก เพื่อบรรลุเป้าหมายในการทำให้ตลาดน้ำมันอยู่ในภาวะสมดุล แต่หากมีความจำเป็นต้องเพิ่มการผลิต ผู้ผลิตน้ำมันก็จะปรับเพิ่มกำลังการผลิตอย่างระมัดระวัง และค่อยเป็นค่อยไป
-- นายเอ็นริเก เปนญา นิเอโต ประธานาธิบดีเม็กซิโก ยืนกรานว่า เม็กซิโกจะไม่มีทางจ่ายเงินเพื่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนระหว่างเม็กซิโกและสหรัฐ
ทั้งนี้ ในข้อความทวิตเตอร์ที่นายนิเอโตส่งถึงประธานาธิบดีโดนัลดื ทรัมป์ ระบุว่า "ไม่มีทาง เม็กซิโกจะไม่มีวันจ่ายเงินสร้างกำแพง ไม่ใช่ในเวลานี้ และไม่ใช่ตลอดไป"
-- นายมาร์ค โมเบียส ประธานกรรมการบริหาร เทมเพิลตัน อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ตส์ กรุ๊ป และผู้ก่อตั้งบริษัทโมเบียส แคปิตัล พาร์ทเนอร์ส กล่าวว่า เขาคาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะทรุดตัวลง 30% อันเนื่องจากการไหลออกของเม็ดเงินจากกองทุน ETF นายโมเบียสระบุว่า สิ่งนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ หรือสัปดาห์หน้า แต่เนื่องจากโครงสร้างของตลาดประกอบด้วยกองทุน ETF จึงทำให้เมื่อมีการตัดสินใจขาย ก็จะทำให้ตลาดเกิดการปรับฐาน และเกิดความผันผวน
อย่างไรก็ดี นายโมเบียสยังคงมีความเชื่อมั่นในการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ เช่น เวียดนาม จีน และอินเดีย เนื่องจากยังคงมีโอกาสเปิดกว้างอย่างมากสำหรับการเข้าลงทุน
-- สิงคโปร์ แอร์ไลน์สแถลงเมื่อวานนี้ว่า ทางสายการบินจะเปิดตัวเส้นทางบินที่ไม่มีการลงจอดกลางทาง (non-stop) ที่ยาวที่สุดในโลกในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นเส้นทางบินสิงคโปร์-เมืองนวร์ก ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ของสหรัฐ
ทั้งนี้ สิงคโปร์ แอร์ไลน์สจะทำการบินในเส้นทางบินท่าอากาศยานชางงีของสิงคโปร์-ท่าอากาศยานนวร์ก ลิเบอร์ตี้ของสหรัฐ ไปกลับวันละ 1 เที่ยว โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค.
-- นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศต่างๆในวันนี้ โดยอียูจะเปิดเผยอัตราว่างงานเดือนเม.ย. และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เบื้องต้นเดือนพ.ค. ขณะที่สหรัฐจะเปิดเผยรายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนเม.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนเม.ย. และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนเม.ย.
ส่วนในวันพรุ่งนี้ เกาหลีใต้จะเปิดเผยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1, อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ค.และดุลการค้าเดือนพ.ค. ขณะที่ไฉซินจะเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพ.ค. ทางด้านมาร์กิตจะเปิดเผยดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพ.ค.ของฝรั่งเศส สหรัฐ เยอรมนี อียู และอังกฤษ ส่วนทางการสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ค., ดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ค. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และยอดขายรถยนต์เดือนพ.ค.