-- สื่อหลายสำนักของสหรัฐต่างพากันตั้งคำถามเกี่ยวกับผลการประชุมสุดยอดระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐ และนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือที่เสร็จสิ้นลงเมื่อวานนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ
วอชิงตัน โพสต์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า แถลงการณ์ร่วมหลังการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐและเกาหลีเหนือเมื่อวานนี้ ยังขาดรายละเอียดที่ชัดเจน เนื่องจากนายคิมไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาเป็นพิเศษว่าจะยกเลิกโครงการนิวเคลียร์หรือขีปนาวุธอื่นๆ ตลอดจนไม่ได้ระบุกรอบเวลาที่ชัดเจนของการปลดอาวุธนิวเคลียร์ด้วย
ด้านนิวยอร์ก ไทม์ส ระบุว่า ทรัมป์ได้เสนอผลประโยชน์ที่มีนัยสำคัญให้กับเกาหลีเหนือ โดยอ้างถึงถ้อยแถลงของทรัมป์ที่ประกาศระงับการซ้อมรบร่วมกับเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนท่าทีอย่างกระทันหันของรัฐบาลสหรัฐ จากก่อนหน้านี้ที่แสดงจุดยืนว่าการซ้อมรบทางทหารเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องชาติพันธมิตรในเอเชีย และไม่อาจต่อรองได้
ส่วนหนังสือพิมพ์วอลสตรีท เจอร์นัล ระบุว่า การตัดสินใจดังกล่าวสร้างความประหลาดใจให้กับเจ้าหน้าที่ทหารที่ประจำการอยู่ในเกาหลีใต้ อีกทั้งยังทำให้ไม่สามารถคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาได้ และยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ท้ายที่สุดแล้วสหรัฐจะยกเลิกการซ้อมรบกับกองทัพเกาหลีใต้หรือไม่
-- ศาลสหรัฐได้อนุมัติให้บริษัท เอทีแอนด์ที อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของสหรัฐ เข้าซื้อกิจการไทม์ วอเนอร์ ซึ่งเป็นบริษัทด้านสื่อและบันเทิงยักษ์ใหญ่ ในวงเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์
-- รัฐบาลสหรัฐทำพิธีเปิดสถานทูตสหรัฐแห่งใหม่ในไต้หวัน อย่างไรก็ตาม การเปิดสถานทูตแห่งใหม่นี้เป็นการดำเนินการทางพฤตินัย และรัฐบาลสหรัฐยังคงสถานะของการไม่มีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับไต้หวัน
-- หม่า เสี่ยวกวง โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันแห่งคณะรัฐมนตรีจีน ได้กล่าวแสดงจุดยืนคัดค้านการติดต่อสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ของสหรัฐกับไต้หวัน "ในทุกรูปแบบ"
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่รายหนึ่งของสหรัฐได้เข้าร่วมพิธีเปิดสำนักงานแห่งใหม่ของสถาบันอเมริกันแห่งไต้หวันเมื่อวานนี้ โดยโฆษกจีนแผ่นดินใหญ่รายนี้กล่าวว่า "สหรัฐอเมริกาควรยึดมั่นกับหลักการจีนเดียว และปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วม 3 ฉบับระหว่างจีนกับสหรัฐ เพื่อไม่ให้เป็นการบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี รวมถึงสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค"
-- สภาสามัญชนของอังกฤษ (House of Commons) ได้ยืนยันการกำหนดวันที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (Brexit) อย่างเป็นทางการในวันที่ 29 มี.ค. 2562 ซึ่งถือเป็นการคัดค้านสภาขุนนางอังกฤษ (House of Lords) ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงวันเวลาดังกล่าว
-- ราคาหุ้น ZTE ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ด้านการสื่อสารรายใหญ่อันดับ 2 ของจีน ร่วงลงอย่างหนักถึง 40% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นฮ่องกงช่วงเช้าวันนี้ ซึ่งนับเป็นการซื้อขายวันแรกในรอบเกือบ 2 เดือน หลังจากที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของฮ่องกงได้สั่งระงับการซื้อขายหุ้น ZTE ในเดือนเม.ย.ปีนี้
-- โฆษกประจำสหประชาชาติเปิดเผยว่า จุดยืนของนายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ที่มีต่อการปลดอาวุธนิวเคลียร์จากคาบสมุทรเกาหลีนั้น ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
-- นายฟิลิป โลว์ ผู้ว่าการธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) เปิดเผยว่า อัตราดอกเบี้ยของออสเตรเลียมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น หากเศรษฐกิจยังคงเติบโตและเคลื่อนไหวในทิศทางที่เหมาะสม
-- สำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่า อุปสงค์น้ำมันโลกจะยังคงเติบโตอย่างมั่นคงในปี 2562 โดยน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน จนแตะเหนือระดับ 100 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในไตรมาสสองของปีหน้า ด้วยปัจจัยหนุนจากความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลกและเสถียรภาพด้านราคา
อย่างไรก็ดี ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการน้ำมัน เช่น แนวโน้มที่ราคาจะปรับตัวสูงขึ้น และโอกาสที่การค้าจะหยุดชะงัก