ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวก 35.77 จุด หรือ +0.15% เมื่อคืนนี้ (2 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ดีดตัวขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นในกลุ่ม FAANG (เฟซบุ๊ก แอปเปิล อเมซอน เน็ตฟลิกซ์ และอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล) หลังจากมีการคาดการณ์ว่าผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีจะขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 2 ปีนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงดัชนีภาคการผลิตเดือนมิ.ย. อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและบรรดาประเทศคู่ค้า
-- สหภาพยุโรป (EU) ขู่เรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 2.94 แสนล้านดอลลาร์ หากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเพิ่มการจัดเก็บภาษีต่อรถยนต์นำเข้าจากยุโรป โดยคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของ EU และรับผิดชอบเกี่ยวกับนโยบายการค้าของ EU ระบุเตือนดังกล่าวในหนังสือที่ส่งไปยังรัฐบาลสหรัฐเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สินค้าสหรัฐวงเงิน 2.94 แสนล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับ 19% ของสินค้าส่งออกของสหรัฐในปี 2560 โดยเมื่อเดือนที่แล้ว ปธน.ทรัมป์ขู่ที่จะเรียกเก็บภาษีในอัตรา 20% ต่อรถยนต์ที่นำเข้าจาก EU เพื่อตอบโต้ต่อการที่ EU เรียกเก็บภาษีต่อสินค้าสหรัฐ
-- คณะรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐเดินหน้าขัดขวางบริษัทไชน่า โมบายล์ ซึ่งเป็นบริษัทสื่อสารของรัฐบาลจีน ไม่ให้เข้าลงทุนในตลาดการสื่อสารโทรคมนาคมของสหรัฐ โดยระบุว่าการรุกธุรกิจของไชน่า โมบายล์ อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐ
สำนักงานโทรคมนาคมและสารสนเทศแห่งสหรัฐ (NTIA) ในสังกัดกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ได้ระบุในเอกสารเมื่อวานนี้ว่า คณะกรรมาธิการการสื่อสารของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FCC) ควรปฏิเสธคำร้องขอของบริษัทไชน่า โมบายล์ ในการเข้ามาทำธุรกิจในสหรัฐ โดยทางไชน่า โมบายล์ ได้ยื่นคำร้องขอดังกล่าวตั้งแต่เมื่อปี 2554
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่สหรัฐกล่าวหาว่าจีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญาจากบริษัทสหรัฐ ขณะที่ในวันศุกร์นี้ สหรัฐจะบังคับใช้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐและอาจเรียเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมอีก 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้านจีนประกาศจะตอบโต้ทางการค้าเช่นเดียวกัน
-- นายวิลเบอร์ รอสส์ รมว.พาณิชย์สหรัฐ กล่าวว่า ยังเร็วเกินไปสำหรับสหรัฐในการที่จะหารือเกี่ยวกับการถอนตัวออกจากองค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งสอดคล้องกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่กล่าวยืนยันว่า ตรไม่ได้คิดที่จะนำสหรัฐถอนตัวออกจาก WTO แม้ว่าเขามีความไม่พอใจต่อ WTO นอกจากนี้ การถอนตัวออกจาก WTO จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาคองเกรส
ด้านนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ กล่าวว่า รายงานข่าวที่มีการระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ต้องการให้สหรัฐถอนตัวออกจาก WTO นั้น ไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด หลังจากที่ Axios ซึ่งเป็นเว็บไซต์ข่าวในสหรัฐ รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวว่า เขาต้องการให้สหรัฐถอนตัวออกจาก WTO
-- ทำเนียบขาวของสหรัฐเปิดเผยว่า นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเตรียมเดินทางไปยังเกาหลีเหนือในวันพฤหัสบดี เพื่อหารือกับรัฐบาลของนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ เกี่ยวกับกระบวนการปลดอาวุธนิวเคลียร์ หลังจากที่นักวิจัยอิสระและสื่อรายงานเกี่ยวกับความพยายามเพิ่มกำลังผลิตเชื้อเพลิงและพัฒนาขีปนาวุธ ตลอดจนโรงงานผลิตเครื่องยนต์จรวด ถือเป็นการเดินทางเยือนเกาหลีเหนือครั้งที่ 3 ของนายปอมเปโอ
สำหรับการเดินทางเยือนเกาหลีเหนือของนายปอมเปโอครั้งนี้เกิดขึ้นหลังการประชุมสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐและนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
-- บิตคอยน์พุ่งขึ้น 4% ทะลุระดับ 6,600 ดอลลาร์วานนี้ หลังปรับตัวซบเซานับตั้งแต่ต้นปี โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บิตคอยน์ร่วงลงต่ำกว่าระดับ 6,000 ดอลลาร์ แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว ซึ่งนักวิเคราะห์ระบุว่า มีสาเหตุเกิดจากการครบกำหนดส่งมอบสัญญาฟิวเจอร์สที่ตลาด CME และจากการที่ไม่มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้าตลาด
ขณะที่ก่อนหน้านี้ บิตคอยน์พุ่งขึ้นมากกว่า 1,300% เกือบแตะระดับ 20,000 ดอลลาร์ในช่วงปลายปีที่แล้ว โดยได้แรงหนุนจากคำสั่งซื้อของนักลงทุนรายย่อย ซึ่งนอกจากบิตคอยน์ที่ปรับตัวซบเซาในปีนี้แล้ว สกุลเงินดิจิทัลอื่นๆก็ได้ร่วงลงเช่นกัน โดยอีเธอเรียมดิ่งลง 40% ในปีนี้ ขณะที่ XRP ทรุดตัวลง 80% และไลท์คอยน์ปรับตัวลง 64% ส่งผลให้มูลค่าตลาดของสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมดวูบหายไปถึง 57% หลังจากที่เริ่มต้นปีนี้ด้วยมูลค่า 6.08 แสนล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ผลการสำรวจพบว่า สกุลเงินดิจิทัลราว 800 สกุลจากทั้งหมดหลายพันสกุลที่เกิดจากการทำ ICO ของบริษัทเอกชนทั่วโลก ขณะนี้ไม่มีการนำมาใช้อีกต่อไปแล้ว
-- กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนเม.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างจะเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ค.
การใช้จ่ายในโครงการก่อสร้างของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย. ขณะที่การใช้จ่ายในโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 0.8% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนเม.ย. ส่วนการใช้จ่ายในโครงการที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยลดลง 0.3% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย.
ส่วนการใช้จ่ายในโครงการภาคสาธารณะเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนพ.ค. สู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2553 หลังจากพุ่งขึ้น 2.3% ในเดือนเม.ย. ขณะที่การใช้จ่ายในโครงการของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้น 2.1% หลังจากเพิ่มขึ้น 2.5% ในเดือนเม.ย. ส่วนการใช้จ่ายในโครงการของรัฐบาลในมลรัฐ และรัฐบาลท้องถิ่นเพิ่มขึ้น 0.6% สู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2552 หลังจากเพิ่มขึ้น 2.3% ในเดือนเม.ย.
-- สำนักข่าว BBC ของอังกฤษรายงานว่า บริษัทเทสโก้ และคาร์ฟูร์ ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของอังกฤษและฝรั่งเศส เตรียมจับมือเป็นพันธมิตรในเชิงยุทธศาสตร์ โดยใช้อำนาจซื้อที่มีร่วมกันในการลดค่าใช้จ่าย และลดราคาสินค้าสำหรับลูกค้า ท่ามกลางการแข่งขันอย่างรุนแรงในตลาด เพื่อเจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์ระหว่างประเทศ รวมทั้งปูทางในการจำหน่ายสินค้าที่เป็นแบรนด์ของบริษัททั้งสอง
ทั้งนี้ เทสโก้นับเป็นผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร ขณะที่คาร์ฟูร์เป็นห้างค้าปลีกใหญ่อันดับ 4 ของยุโรป นอกจากนี้ เทสโก้มีการว่าจ้างพนักงานรวมกัน 440,000 คนทั่วโลก ส่วนคาร์ฟูร์มีพนักงาน 375,000 คน
-- บริษัทนีลเสน ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคในระดับโลก เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเวียดนามเพิ่มขึ้น 9 จุด แตะระดับ 124 จุดในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้เวียดนามเป็นประเทศที่มีความเชื่อมั่นสูงเป็นอันดับ 4 ของโลก
นีลเสนระบุว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเวียดนามได้แรงหนุนจากแนวโน้มการจ้างงานในประเทศ และสถานะการเงินส่วนบุคคล นอกจากนี้ ผลการสำรวจระบุว่า ผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น 2 จุด สู่ระดับ 121 ในไตรมาสแรก จากระดับ 119 ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว
-- สำนักงานสถิติแห่งชาติเกาหลีใต้เปิดเผยในวันนี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ ปรับตัวขึ้น 1.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาสินค้าเกษตรและการบริการ
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเงินเฟ้อของเกาหลีใต้ยังคงอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางเกาหลีใต้ซึ่งกำหนดไว้ที่ระดับ 2% ในปีนี้ ซึ่งทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่า การดำเนินนโยบายคุมเข้มทางการเงินของธนาคารกลางเกาหลีใต้ในหลายเดือนต่อจากนี้อาจจะเป็นไปในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป
-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของประเทศต่างๆที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ รวมถึง ธนาคารกลางออสเตรเลียจะประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ยูโรสแตทจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ค.และยอดค้าปลีกเดือนพ.ค.ของกลุ่มสหภาพยุโรป ขณะที่สหรัฐจะเปิดเผยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนพ.ค.
ส่วนในวันพรุ่งนี้ เกาหลีใต้จะเปิดเผยทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเดือนเดือนมิ.ย. ด้านออสเตรเลียจะเปิดเผยยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนพ.ค. ส่วนจีนเตรียมเปิดเผย ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนมิ.ย.จากไฉซิน ขณะที่ฝรั่งเศส เยอรมนี อียูและอังกฤษ จะเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนมิ.ย.จากมาร์กิต