ที่ประชุมรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางกลุ่ม G20 ได้ออกแถลงการณ์เตือนว่า สงครามการค้าและความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลก พร้อมกับเรียกร้องให้ทุกฝ่ายแก้ไขปัญหาดังกล่าวผ่านการเจรจาและดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม
รัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางกลุ่ม G20 ได้ออกแถลงการณ์ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมระยะเวลา 2 วันที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินาเมื่อวานนี้ว่า "ที่ประชุมได้เห็นพ้องกันว่า การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศถือเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญต่อเศรษฐกิจ" อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมไม่ได้กล่าวถึงการใช้มาตรการที่เข้มงวดจริงจังในการป้องกันการลุกลามของนโยบายกีดกันการค้า
ที่ประชุมยังระบุด้วยว่า เศรษฐกิจทั่วโลกยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่อัตราว่างงานอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี แต่เมื่อไม่นานมานี้เศรษฐกิจโลกขยายตัวอย่างไม่สอดคล้องกัน และความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะเผชิญภาวะขาลงในระยะสั้นและระยะกลางนั้นมีมากขึ้น
"ความเสี่ยงดังกล่าวนั้น รวมถึงภาวะเปราะบางด้านการเงิน ความตึงเครียดด้านการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะไร้ดุลภาพที่เกิดขึ้นทั่วโลก และการเติบโตที่อ่อนแรงลงเมื่อพิจารณาทั้งในแง่ของความไม่เท่าเทียมกันและเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศ"
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การประชุม G20 ครั้งนี้มีขึ้นในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีนกำลังทวีความรุนแรงขึ้น โดยทั้งสองประเทศต่างก็บังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีวงเงิน 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ และต่างก็ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีก
ทั้งนี้ ประเทศ G20 ประกอบไปด้วย อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย บราซิล สหราชอาณาจักร แคนาดา จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี อินเดีย อินโดนีเซีย อิตาลี ญี่ปุ่น เม็กซิโก รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย แอฟริกาใต้ เกาหลีใต้ ตุรกี สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป (EU)