คณะผู้แทนภาคอุตสาหกรรมจากสหรัฐได้แสดงจุดยืนคัดค้านนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่ระดับ 25% รวมมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยระบุว่า ภาษีที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและผู้บริโภคของสหรัฐ เนื่องจากต้นทุนค่าใช้จ่ายและราคาสินค้าที่สูงขึ้น
ในระหว่างการทำประชาพิจารณ์ซึ่งจัดขึ้นเป็นวันแรกเมื่อวานโดยสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐนั้น สภาหอการค้าสหรัฐกล่าวว่า การเรียกเก็บภาษีซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในช่วงต้นเดือนหน้านั้น "จะสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อผู้บริโภค แรงงาน ธุรกิจ และเศรษฐกิจของสหรัฐ"
นายรอสส์ บิชอป ประธานบริษัท BrightLine Bags Inc. จากแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีโรงงานผลิตสินค้า 5 แห่งในประเทศจีน ได้เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐยุติการเรียกเก็บภาษีนำเข้า โดยนายบิชอปกล่าวว่า บริษัทของเขากลายเป็น "หมากตัวหนึ่ง" ใน "เกมการเมือง" ระหว่างสองประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของโลก
นายบิชอปยังกล่าวด้วยว่า ด้วยความที่บริษัทของเขาต้องเผชิญกับการเก็บภาษีเพิ่มเติมอย่างไม่เป็นธรรมที่ 42.6% ทำให้ทางบริษัทไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากที่ผลักภาระค่าใช้จ่ายส่วนเกินนั้นไปให้กับผู้บริโภค ซึ่งก็อาจจะทำให้ยอดขายตกลงไป แต่ก็ยังช่วยให้บริษัทอยู่รอดไปได้
ทางด้านนายจิม เดย์ รองประธานบริษัท 47 Brand LLC ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องกีฬาในรัฐแมสซาชูเซตส์กล่าวว่า ไม่มีผู้ผลิตรายใดที่จะผลิตสินค้าที่ได้ทั้งคุณภาพและปริมาณเทียบเท่าจีน
นายเดย์กล่าวว่า "ลูกค้าส่วนใหญ่ของเราอาจจะไม่ยอมซื้อหมวกแก๊ปที่มีราคาแพงกว่าเดิมถึง 25% และหากการเรียกเก็บภาษีมีผลบังคับใช้ ธุรกิจของเราต้องซบเซาลงอย่างแน่นอน"
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลของปธน.ทรัมป์ได้สั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 25% คิดเป็นวงเงิน 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจีนก็ได้ตอบโต้กลับด้วยการเก็บภาษีเพิ่มเติมในวงเงินเท่ากัน