นายลู่ กัง โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีนได้แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า วิสาหกิจของจีนที่เข้าไปทำธุรกิจตามปกติในประเทศญี่ปุ่นนั้น ไม่ควรที่จะถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คำกล่าวของนายลู่มีขึ้นเมื่อผู้สื่อข่าวขอให้แสดงความเห็นต่อรายงานที่ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นได้ทบทวนนโยบายการจัดซื้อและมีการเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายที่จะป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์และสร้างความเชื่อมั่นด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ ด้วยการห้ามไม่ให้ภาครัฐจัดซื้อผลิตภัณฑ์โครงสร้างพื้นฐานจากบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ และแซดทีอี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลญี่ปุ่นดำเนินการตามรอยสหรัฐ
"เราได้รับทราบว่ารัฐบาลญี่ปุ่นได้ทบทวนนโยบายการจัดซื้อ ซึ่งทางฝั่งจีนได้ติดต่อสื่อสารกับญี่ปุ่นในประเด็นดังกล่าวผ่านช่องทางการทูตแล้ว" นายลู่กล่าว
นายลู่ยังกล่าวด้วยว่า จีนได้รับทราบถึงถ้อยแถลงของนายโยชิฮิเดะ ซูกะ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นที่ว่า ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลญี่ปุ่นครั้งนี้ไม่มีความตั้งใจที่จะระงับบริษัทใดหรืออุปกรณ์ชนิดใดเป็นพิเศษ
นายลู่ย้ำว่า การลงทุนและการให้ความร่วมมือทางธุรกิจของบริษัทจีนในญี่ปุ่นนั้น ถือเป็นประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย พร้อมกล่าวว่า จีนยังคงสนับสนุนวิสาหกิจของประเทศให้เข้าไปลงทุนในญี่ปุ่น โดยปฏิบัติตามหลักการทางพาณิชย์ กฎระเบียบระหว่างประเทศ และกฎหมายท้องถิ่น
เมื่อวานนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นมีมติห้ามไม่ให้ภาครัฐจัดซื้อผลิตภัณฑ์โครงสร้างพื้นฐานจากหัวเว่ย เทคโนโลยี่ และแซดทีอี ซึ่งเป็นสองบริษัทเทคโนโลยีโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีน ตั้งแต่เดือนเม.ย. ปีหน้าเป็นต้นไป ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับการละเมิดความมั่นคงปลอดภัย หลังจากที่ทางการสหรัฐ และชาติพันธมิตรบางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ ได้ระงับการสั่งซื้ออุปกรณ์จากบริษัทเหล่านี้มาแล้วในช่วงก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า รัฐบาลไม่ได้ระบุชื่อบริษัทที่ถูกแบนอย่างชัดเจน เนื่องจากเกรงว่าอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและจีน ซึ่งส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้ หัวหน้าโฆษกรัฐบาลญี่ปุ่นเน้นย้ำว่า นโยบายใหม่นี้ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งเป็นพิเศษ