ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 23,675.64 จุด เพิ่มขึ้น 82.66 จุด หรือ +0.35% เมื่อคืนนี้ โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งนำโดยหุ้นโบอิ้งที่พุ่งขึ้นกว่า 3% ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นในกลุ่ม FAANG (เฟซบุ๊ก แอปเปิล อเมซอน เน็ตฟลิกซ์ และอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล)
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลหลังจากที่ปรึกษาทำเนียบขาวได้ออกมาขู่ว่าจะปล่อยให้มีการปิดหน่วยงานบางส่วนของรัฐบาล หรือชัตดาวน์ หากสภาคองเกรสไม่ผ่านงบประมาณการสร้างกำแพงกั้นพรมแดนเม็กซิโก นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จะรู้ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ
-- นักลงทุนจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดจะแถลงมติการประชุมในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เฟดจะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.25-2.50% หลังจากสิ้นสุดการประชุมในครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 4 ในปีนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการส่งสัญญาณของเฟดเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อทรงตัวในเดือนพ.ย. และการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ขยายตัวน้อยกว่าคาดในเดือนพ.ย.
-- จับตาการประชุมการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในวันพฤหัสบดีนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า BoE จะคงนโยบายการเงินในการประชุมครั้งนี้
ส่วนในการประชุมเมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา BoE ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรในปีหน้า โดย BoE คาดการณ์ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะขยายตัว 1.7% ในปีหน้า จากเดิมที่คาดการณ์ที่ระดับ 1.8% ในเดือนส.ค.
นอกจากนี้ BoE ยังคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 2.1% ในปีหน้า จากเดิมที่คาดการณ์ที่ระดับ 2.2%
อย่างไรก็ดี BoE ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อสำหรับปีนี้ และปี 2564 สู่ระดับ 2.5% และ 2.1% ตามลำดับ โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น
-- นักลงทุนยังคงติดตามสถานการณ์ที่อังกฤษแยกตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยคณะรัฐมนตรีอังกฤษจัดการประชุมเมื่อวานนี้ เพื่อหารือการเตรียมการรับมือในกรณีที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปโดยที่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลง ซึ่งการประชุมดังกล่าวให้ความสำคัญต่อการจัดสรรงบประมาณจำนวน 2 พันล้านปอนด์ (2.5 พันล้านดอลลาร์) ในการรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น ในกรณีที่เกิดภาวะ Brexit โดยไม่มีการบรรลุข้อตกลง
ทางด้านนายแกวิน วิลเลียมสัน รัฐมนตรีกลาโหมของอังกฤษ กล่าวว่า กองทัพจะจัดเตรียมกำลังทหารจำนวน 3,500 นายในการให้การสนับสนุนต่อรัฐบาล หากเกิดความวุ่นวายในประเทศ ในกรณีที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปโดยที่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลง
-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 7% เมื่อคืนนี้ โดยปรับตัวลงเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน จากความวิตกเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด หลังมีรายงานออกมาว่าสหรัฐมีการผลิตน้ำมัน 11.7 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้สหรัฐเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้ารัสเซียซึ่งมีการผลิตน้ำมัน 11.42 ล้านบาร์เรล/วัน โดยระดับดังกล่าวถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของรัสเซีย
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า บ่อน้ำมัน Buzzard ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันใหญ่สุดของอังกฤษ ได้เริ่มกลับมาดำเนินการอีกครั้งในขณะนี้ หลังจากที่ปิดทำการเพื่อซ่อมแซมท่อส่งน้ำมัน โดยอังกฤษสามารถสูบน้ำมันดิบจากบ่อแห่งนี้ได้ในปริมาณ 150,000 บาร์เรลต่อวัน และส่งออกด้วยการลำเลียงผ่านท่อน้ำมันฟอร์ตี้ส์
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่าเศรษฐกิจทั่วโลกที่ส่งสัญญาณชะลอตัวลงนั้น อาจส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน ขณะที่นักลงทุนกำลังจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้
-- นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐเปิดเผยว่า สหรัฐและจีนกำลังวางแผนที่จะจัดการเจรจาเพื่อสงบศึกสงครามการค้าในเดือนม.ค.นี้
นายมนูชินระบุว่า ทั้งสองฝ่ายได้มีการพูดคุยกันผ่านทางโทรศัพท์หลายครั้งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และกำลังอยู่ระหว่างเตรียมจัดการเจรจาอย่างเป็นทางการต่อไป โดยต่างฝ่ายต่างก็มุ่งเน้นที่จะทำข้อตกลงร่วมกันให้เสร็จสิ้น ก่อนครบกำหนดระยะเวลางดเว้นภาษีซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 1 มี.ค.ปีหน้า
อย่างไรก็ดี นายมนูชินกล่าวว่า สหรัฐและจีนอาจไม่มีการติดต่อใดๆกันเพิ่มเติมหลังจากนี้ จนกว่าที่การเจรจาดังกล่าวจะเกิดขึ้น
-- วุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตได้ปฏิเสธที่จะสนับสนุนร่างกฎหมายงบประมาณการใช้จ่ายวงเงิน 1 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างกำแพงกั้นแนวชายแดนเม็กซิโก ซึ่งเสนอโดยนายมิทช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากของพรรครีพับลิกันในวุฒิสภา แม้ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่หลายคนของคณะทำงานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเรียกร้องให้สภาคองเกรสผ่านร่างงบประมาณสำหรับการก่อสร้างกำแพงดังกล่าว มิฉะนั้นรัฐบาลอาจจำเป็นต้องปล่อยให้หน่วยงานบางส่วนถูกปิดทำการเนื่องจากขาดแคลนงบประมาณ หรือ "ชัตดาวน์" เพื่อแลกกับความมั่นคงตามแนวชายแดน
รายงานระบุว่า นายชัค ชูเมอร์ แกนนำเสียงข้างน้อยของพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา ได้ปฏิเสธร่างกฎหมายการใช้จ่ายที่เสนอโดยนายแมคคอนเลล์ โดยกล่าวว่า พรรคเดโมแครตจะไม่ยอมสนับสนุนงบประมาณนับพันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างกำแพงดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม นายแมคคอนเนลล์กล่าวว่า เขาจะหารือกับคณะทำงานของปธน.ทรัมป์ เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ชัตดาวน์ และยังแสดงความมั่นใจว่า หน่วยงานของรัฐบาลจะไม่ถูกชัตดาวน์ในวันศุกร์นี้ ซึ่งเป็นกำหนดเส้นตายที่สภาคองเกรสจะต้องผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการชัตดาวน์
-- กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านเพิ่มขึ้นสวนทางคาดการณ์ในเดือนพ.ย. โดยเพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 1.256 ล้านยูนิต จากระดับ 1.217 ล้านยูนิตในเดือนต.ค. นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านจะลดลงสู่ระดับ 1.225 ล้านยูนิตในเดือนพ.ย. ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านสำหรับครอบครัวเดี่ยว ลดลง 4.6% สู่ระดับ 824,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ปีที่แล้ว ส่วนการก่อสร้างบ้านสำหรับหลายครอบครัว ซึ่งรวมถึงอพาร์ทเมนท์และคอนโดมิเนียม พุ่งขึ้น 22.4% สู่ระดับ 432,000 ยูนิต
-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศต่างๆซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ย.ของเยอรมนี อัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย.ของอังกฤษ ดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาส 3/2561 และยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย.ของสหรัฐ รวมถึงสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) ตลอดจนการแถลงมติอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงเช้าของวันที่ 20 ธ.ค. ตามเวลาไทย
ส่วนวันพรุ่งนี้ ออสเตรเลียเตรียมเปิดเผยตัวเลขจ้างงานและอัตราว่างงานเดือนพ.ย. ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นเตรียมจัดประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย ด้านอียูเตรียมเปิดเผยดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนต.ค. อังกฤษจะเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนพ.ย. ขณะเดียวกันธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ก็จะจัดประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย และสหรัฐเตรียมเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์