ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ หลังจากธนาคารรายใหญ่อย่างโกลด์แมน แซคส์ และแบงก์ ออฟ อเมริกา เปิดเผยกำไรและรายได้ที่สูงกว่าคาด โดยรายงานดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้น และสามารถสกัดปัจจัยลบจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ชัตดาวน์ในสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,207.16 จุด พุ่งขึ้น 141.57 จุด หรือ +0.59% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,616.10 จุด เพิ่มขึ้น 5.80 จุด หรือ +0.22% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,034.69 จุด เพิ่มขึ้น 10.86 จุด หรือ +0.15%
-- หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า พนักงานอัยการสหรัฐกำลังเร่งสอบสวนคดีอาญาต่อบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ธุรกิจโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีน ฐานขโมยความลับทางการค้าจากบริษัทที-โมบายล์ ผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายของสหรัฐ รวมถึงบริษัทสหรัฐรายอื่นๆ
แหล่งข่าวระบุว่า การสอบสวนดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่สหรัฐได้ดำเนินการฟ้องร้องคดีแพ่งต่อหัวเว่ยมาแล้วหลายครั้งในช่วงก่อนหน้านี้ และบางคดีได้ตัดสินไปแล้ว โดยหนึ่งในนั้นคือคดีที่ศาลซีแอตเทิลซึ่งคณะลูกขุนได้ตัดสินว่า หัวเว่ยมีความผิดฐานยักยอกเทคโนโลยีหุ่นยนต์จากห้องปฏิบัติการวิจัยของบริษัทที-โมบายล์ ที่เมืองเบลวิว รัฐวอชิงตัน
-- นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ รอดมติไม่ไว้วางใจในรัฐสภาอังกฤษวานนี้ โดยนางเมย์ได้เร่งเปิดการเจรจากับพรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านของอังกฤษ โดยหวังที่จะแก้ปมปัญหาข้อตกลง Brexit ที่ยังค้างคา ก่อนที่อังกฤษจะแยกตัวออกจาก สหภาพยุโรปในวันที่ 29 มี.ค
ทั้งนี้ สมาชิกสภาสามัญชนของอังกฤษลงมติด้วยคะแนนเสียง 325 ต่อ 306 เสียง ให้ความไว้วางใจต่อรัฐบาลของนางเมย์ ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป โดยหลังจากนี้ นางเมย์จะต้องนำเสนอแผนการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ฉบับใหม่ต่อรัฐสภาภายในวันที่ 21 ม.ค. หลังจากที่เมื่อวานนี้ รัฐสภาลงมติด้วยคะแนนเสียงถล่มทลาย 432 ต่อ 202 เสียง ปฏิเสธร่างข้อตกลง Brexit ของนางเมย์
-- ธนาคารกลางจีนได้ทำการอัดฉีดเม็ดเงินจำนวน 5.60 แสนล้านหยวน หรือ 8.3 หมื่นล้านดอลลาร์ เข้าสู่ระบบการเงินของประเทศเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงเป็นประวัติการณ์ โดยหวังผ่อนคลายภาวะขาดแคลนสภาพคล่อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ธนาคารกลางจีนได้ทำการอัดฉีดเม็ดเงินดังกล่าวผ่านการดำเนินการข้อตกลง reverse repo ซึ่งเป็นกระบวนการที่ธนาคารกลางเข้าซื้อหลักทรัพย์จากธนาคารพาณิชย์ด้วยข้อตกลงที่จะขายคืนในอนาคต
ถึงแม้ว่าธนาคารกลางจีนมักทำการอัดฉีดเม็ดเงินในระยะนี้ของปี ก่อนถึงช่วงตรุษจีน แต่การอัดฉีดสภาพคล่องเมื่อวานนี้ถือเป็นจำนวนที่มากกว่าปกติ แม้ว่าธนาคารกลางเพิ่งประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ในช่วงต้นเดือนนี้ ซึ่งทำให้มีการระบายเงินสดจำนวน 1.16 แสนล้านหยวนสำหรับการปล่อยสินเชื่อใหม่ในภาคธนาคาร
-- นายฮิเดโอ ฮายาคาวะ อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า เงินเยนมีแนวโน้มแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 6 ปี หากเศรษฐกิจญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งอาจเกิดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้
"ผมไม่คิดว่าเงินเยนจะแข็งค่าแตะระดับเดียวกับในยุค 70 แต่ก็มีแนวโน้มใกล้เคียงกับช่วงยุค 80" นายฮายาคาวะกล่าว
-- นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี แสดงความเสียใจต่อการที่รัฐสภาอังกฤษลงมติปฏิเสธร่างข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) แต่นางแมร์เคิลชี้ว่ายังคงมีเวลาสำหรับการเจรจา
"เรายังคงมีเวลาสำหรับการเจรจา เราเชื่อว่าสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับอังกฤษที่จะบอกเราว่าจะทำอย่างไรต่อไป" นางแมร์เคิลกล่าว
นางแมร์เคิลเชื่อว่าการที่รัฐสภาอังกฤษคว่ำร่างข้อตกลง Brexit จะสร้างความเสียหายไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ แต่รัฐบาลเยอรมนีจะควบคุมความเสียหายให้น้อยที่สุด
-- นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ สังกัดพรรคเดโมแครต ส่งจดหมายไปยังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยระบุว่า เขาควรเลื่อนกำหนดการกล่าวแถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) ต่อสภาคองเกรส อันเนื่องจากปัญหาการปิดหน่วยงานรัฐบาล (ชัตดาวน์) ที่ยังคงดำเนินไป หรือมิฉะนั้น ก็ให้ส่งแต่เพียงคำแถลงเป็นลายลักษณ์อักษรต่อสภา
"สำนักงานสืบราชการลับของสหรัฐ และกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิไม่ได้รับงบประมาณเป็นเวลา 26 วันแล้ว อันเนื่องจากภาวะชัตดาวน์ ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงความปลอดภัย และหากหน่วยงานรัฐบาลยังไม่สามารถเปิดทำการในสัปดาห์นี้ ดิฉันขอเสนอให้เรามาตกลงกันเกี่ยวกับการหาวันอื่นที่เหมาะสม หลังจากที่มีการเปิดหน่วยงานรัฐบาลแล้ว หรือมิฉะนั้น ท่านควรยื่นคำแถลงนโยบายดังกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรต่อสภาคองเกรสในวันที่ 29 มกราคม" นางเพโลซีระบุในจดหมาย และเสริมว่า "นับตั้งแต่ปีงบประมาณ 1977 การแถลงนโยบายประจำปีไม่เคยมีขึ้นในช่วงที่เกิดชัตดาวน์"
-- นายอูฮูรู เคนยัตตา ประธานาธิบดีเคนยา กล่าวว่า รัฐบาลจะทำสงครามกวาดล้างกลุ่มก่อการร้าย หลังจากที่กลุ่มติดอาวุธทำการโจมตีโรงแรมกลางกรุงไนโรบีวานนี้ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก โดยยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดอยู่ที่ 21 ราย
"ในช่วงหลายวัน หลายสัปดาห์ และหลายเดือนข้างหน้า เราจะดำเนินการอย่างไม่หยุดหย่อนในการสร้างความเข้มแข็งต่อระบบของเรา ทั้งในด้านการรักษาความมั่นคง และด้านตุลาการ โดยเราจะดำเนินการทุกขั้นตอนในการทำให้กลุ่มก่อการร้าย และเครือข่ายไม่สามารถอยู่ในประเทศของเรา" นายเคนยัตตากล่าว
-- ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ "Beige Book" โดยระบุว่า ตลาดแรงงานทั่วทุกเขตในสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว ขณะที่ภาคธุรกิจยังคงต้องการพนักงานที่มีทักษะ ส่วนค่าจ้างโดยทั่วไปมีการขยายตัวปานกลาง
รายงานระบุว่า เขตส่วนใหญ่ในสหรัฐรายงานว่า ราคาสินค้าผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจนถึงปานกลาง ขณะที่หลายเขตระบุว่า การปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวมเป็นไปในเชิงบวก แต่หลายเขตมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจน้อยลง เนื่องจากภาวะผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดการเงิน รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ปรับตัวสูงขึ้น ราคาพลังงานชะลอตัวลง และความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นทั้งในด้านการค้าและการเมือง
-- ทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการเมื่อคืนนี้ โดยสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านเพิ่มขึ้น 2 จุด สู่ระดับ 58 ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายเดือน แต่เมื่อเทียบรายปี ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านร่วงลง 14 จุดในเดือนม.ค. ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ดัชนีราคานำเข้าร่วงลงเป็นเดือนที่ 2 ในเดือนธ.ค. โดยปรับตัวลง 1.0% เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากดิ่งลง 1.9% ในเดือนพ.ย.
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีการผลิตเดือนม.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, การผลิตภาคอุตสาหกรรม-อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนธ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน