องค์สหประชาชาติ (UN) เปิดเผยว่า สหภาพยุโรป (EU) อาจได้เป็นผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เนื่องจากการเก็บภาษีศุลการกรเพิ่มขึ้นไม่สามารถปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศของทั้งสหรัฐและจีนที่กำลังเผชิญกับความขัดแย้งกันดังกล่าว
ที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ระบุในการศึกษาครั้งใหม่ว่า "การเก็บภาษีศุลกากรทวิภาคีจะเปลี่ยนแปลงความได้เปรียบในการแข่งขันทางการค้าทั่วโลก โดยจะทำให้บรรดาบริษัทที่ดำเนินงานในประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาษีนั้น กลายเป็นผู้ที่ได้เปรียบ"
UNCTAD คาดการณ์ว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะทำให้EU ได้รับประโยชน์มากที่สุด โดยจะหนุนการส่งออกของ EU ไปยังสหรัฐและจีนราว 7 หมื่นล้านดอลลาร์ อันเป็นผลจากการปรับขึ้นภาษีครั้งใหม่ที่มีกำหนดบังคับใช้ในวันที่ 2 มี.ค.
ขณะที่เม็กซิโก ญี่ปุ่นและแคนาดา คาดว่าจะมีมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์
"การวิเคราะห์ของเราบ่งชี้ว่า ขณะที่ภาษีศุลกากรทวิภาคีไม่ได้มีประสิทธิภาพในการปกป้องบรรดาบริษัทภายในประเทศ ภาษีเหล่านั้นกลับเป็นเครื่องมือที่ถูกต้องตามกฏหมายอย่างมากที่จะจำกัดการค้าจากประเทศเป้าหมาย" พาเมลา โค๊ก-ฮามิลตัน หัวหน้าฝ่ายการค้าระหว่างประเทศของ UNCTAD ระบุในแถลงการณ์ สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ในการประชุมสุดยอดที่กรุงบัวโนส ไอเรสเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมานั้น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐและประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนได้ตกลงกันว่า รัฐบาลของสองประเทศจะระงับการกำหนดภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้นต่อสินค้านำเข้าของกันและกันเป็นเวลานาน 90 วัน ขณะที่จะพยายามเจรจาต่อรองทางการค้าให้แล้วเสร็จ
ทำเนียบขาวระบุว่า การปรับขึ้นภาษีสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์เป็น 25% จาก 10% นั้นจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 มี.ค.ตามหมายกำหนดการ นอกเสียจากว่าทั้งสองฝ่ายจะบรรลุผลเจรจาที่น่าพอใจภายในวันที่ 1 มี.ค.