เวียดนามดำเนินการคุมเข้มความปลอดภัยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า การประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐและนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือในวันที่ 27-28 ก.พ.ที่กรุงฮานอย จะประสบความสำเร็จ
บรรดานักวิเคราะห์กล่าวว่า สหรัฐจะหาทางดำเนินขั้นตอนที่เป็นรูปธรรมในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลี ขณะที่เกาหลีเหนือจะดำเนินนโยบายแบบเปิดมากขึ้นเพื่อปรับเปลี่ยนการดำเนินนโยบายทางการทูตต่างประเทศผ่านทางการประชุม
ส่วนเวียดนามเองก็จะใช้โอกาสนี้ในการนำเสนอความน่าดึงดูดใจของประเทศ และเพิ่มการมีส่วนร่วมในประเด็นระหว่างประเทศ
- สหรัฐ "ไม่เร่งรีบ" ที่จะปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ
การเจรจาหลังการประชุมครั้งแรกของทรัมป์-คิมที่สิงคโปร์ในปีที่ผ่านมานั้น ประสบกับภาวะชะงักงัน เนื่องจากความขัดแย้งในประเด็นต่างๆ ที่สำคัญ อาทิ โรดแมพของการปลดอาวุธนิวเคลียร์ การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ และประเด็นที่ว่าจะมีการประกาศยุติสงครามหรือไม่
ปธน.ทรัมป์เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เขาอยากจะเห็นการปลดอาวุธนิวเคลียร์ขั้นสูงสุดของเกาหลีเหนือ แต่ในขณะเดียวกันเขา "จะไม่เร่งรีบ" ในเรื่องนี้ เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรยังมีผลบังคับใช้ และเกาหลีเหนือก็ไม่ได้ทำการการทดสอบนิวเคลียร์และขีปนาวุธในระยะนี้
เจ้าหน้าที่สหรัฐรายหนึ่งเชื่อว่า ผู้นำสหรัฐและเกาหลีเหนือจะหารือเพื่อทำความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับการปลดอาวุธนิวเคลียร์ในการประชุมสุดยอดที่จะเปิดฉากขึ้นในวันพรุ่งนี้
คณะทำงานของรัฐบาลสหรัฐเปิดเผยว่า การประชุมสุดยอดที่กรุงฮานอยซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ จะประกอบด้วยการประชุมแบบหนึ่งต่อหนึ่งระหว่างปธน.ทรัมป์และนายคิม และจะมีการเจรจาเพิ่มเติมกับคณะผู้แทนของทั้งสองประเทศ หลังจากนั้น ก็คาดว่าทั้งสองฝ่ายจะออกแถลงการณ์ร่วมกันหลังเสร็จสิ้นการประชุม
นายไคลีย์ เฟอร์ริเออร์ นักวิเคราะห์ของสถาบันเศรษฐกิจเกาหลี (KEI) ในกรุงวอชิงตันกล่าวว่า สหรัฐจะหาทางกำหนดขั้นตอนที่เป็นรูปธรรมในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ และคาดว่าสหรัฐเต็มใจที่จะประกาศยุติสงครามเกาหลี ขณะที่เกาหลีเหนือจะขานรับอย่างแน่นอนต่อการประกาศยุติสงคราม ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกในการบรรลุเป้าหมายการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนบนคาบสมุทรเกาหลี
นางเจนนา กิ๊บสัน ผู้อำนวยการด้านการสื่อสารของ KEI ระบุว่า เมื่อพิจารณาจากข้อกังขาและการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเกี่ยวกับการประชุมสุดยอดระหว่างปธน.ทรัมป์และนายคิมที่สิงคโปร์นั้น คาดว่าปธน.ทรัมป์จะต้องหาทางขอการยินยอมหรือคำมั่นสัญญาที่เป็นรูปธรรมจากนายคิม เพื่อแสดงให้เห็นว่าแผนการจัดการของเขายังคงได้ผล
นางกิ๊บสันตั้งข้อสังเกตว่า ปธน.ทรัมป์ได้เผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐที่ยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงที่ผ่านมา
"การแสดงให้เห็นว่า เขาสามารถรับมือกับประชุมสุดยอดครั้งใหญ่ได้สำเร็จ และได้รับการยิมยอมที่สำคัญจากนายคิมนั้น จะถือเป็นข่าวดีสำหรับปธน.ทรัมป์" นางกิ๊บสันกล่าว
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในการตอบสนองต่อความต้องการของทรัมป์ นายคิมได้ระบุในการแสดงสุนทรพจน์ในช่วงปีใหม่ว่า เขาจะสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับสหรัฐ สร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในคาบสมุทรเกาหลี และดำเนินการปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าสหรัฐจะดำเนินมาตรการที่สอดคล้องกัน
- เกาหลีเหนือจะปรับปรุงความสัมพันธ์กับต่างประเทศ
เกาหลีเหนือได้พยายามครั้งใหญ่ที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์กับต่างชาติ โดยหลังจากเดินทางเยือนจีน, เกาหลีใต้และสิงคโปร์นั้น นายคิมจะเดินทางเยือนเวียดนามเป็นประเทศที่ 4 นับตั้งแต่ปีแล้ว
ทั้งนี้ นับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่ผ่านมา นายคิมได้เดินทางไปเยือนจีน 4 ครั้ง และได้เข้าพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงทุกครั้ง
นายคิมแ ละนายมูน แจ-อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ได้พบปะกัน 3 ครั้งในปีที่แล้ว โดยทั้งสองฝ่ายตกลงกันที่จะลดความตึงเครียดทางทหาร และป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะกันโดยไม่ตั้งใจ
ผลสำรวจที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า ภาพลักษณ์ของเกาหลีเหนือในสายตาของนักศึกษาเกาหลีใต้เป็นไปในเชิงบวกมากขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่มีสันติภาพมากขึ้นในคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งเกิดจากการประชุมสุดยอดหลายครั้งระหว่างสองเกาหลี และการประชุมสุดยอดครั้งแรกระหว่างเกาหลีเหนือและสหรัฐในปีที่แล้ว
นอกจากนี้ เกาหลีเหนือยังเชิญพันธมิตรด้านสังคมนิยมมาเยือนประเทศด้วย
ในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา นายมิเกล ดิแอซ-คาเนล ประธานาธิบดีคิวบาได้เดินทางเยือนเกาหลีเหนือ และเข้าพบกับนายคิมเพื่อหารือเชิงลึกเกี่ยวกับการเสริมสร้างความร่วมมือ และการแลกเปลี่ยนกันในด้านต่างๆ
นายหวัง จุนเชง ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสถาบันสังคมศาสตร์จีนกล่าวว่า การเดินทางเยือนกรุงฮานอยของนายคิมแสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่เปิดกว้างของเขาต่อการส่งเสริมนโยบายต่างประเทศแบบเปิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มการสื่อสารและความร่วมมือกับบรรดาประเทศสังคมนิยม
นักวิเคราะห์คาดว่า นายคิมจะถือโอกาสในการเดินทางเยือนกรุงฮานอยครั้งนี้เพื่อเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจยุคหลังสงครามของเวียดนาม
ทั้งนี้ เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศเอเชียที่มีเศรษฐกิจขยายตัวเร็วที่สุด และกำลังผนวกเข้ากับชุมชนระหว่างประเทศ โดยเศรษฐกิจของเวียดนามขยายตัวในอัตราที่สูงกว่า 7% เล็กน้อยในปี 2560 โดยได้แรงหนุนจากการผลิตที่เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก
- เวียดนามจะส่งเสริมอำนาจละมุน (soft power)
ผู้เชี่ยวชาญหลายรายเชื่อว่า การได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดครั้งนี้ จะยกระดับภาพลักษณ์ของเวียดนามในเวทีระหว่างประเทศ และช่วยเวียดนามในการส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
นายฟาม ฮอง ไท รักษาการผู้อำนวยการสถาบันศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือภายใต้สถาบันสังคมศาสตร์ของเวียดนามกล่าวว่า การประชุมซัมมิตครั้งนี้เป็นโอกาสที่มีค่าอย่างมากสำหรับเวียดนาม
"การประชุมซัมมิตครั้งแรกในสิงคโปร์ ผู้สื่อข่าวหลายพันคนเดินทางไปยังสิงคโปร์ และจะเป็นเช่นเดียวกันในการประชุมซัมมิตครั้งนี้ เป็นที่แน่นอนว่า ในระหว่างกระบวนการประชุม ผู้สื่อข่าวต่างประเทศจะส่งเสริมภาพลักษณ์ของเวียดนามอย่างกว้างขวางสู่สายตาชาวโลก"
นายเลอ ฮอย ตรัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามเปิดเผยว่า มีนักข่าวต่างชาติประมาณ 2,600 รายลงทะเบียนเพื่อเข้าทำข่าวการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐและเกาหลีเหนือในครั้งนี้
นายตรังระบุว่า เวียดนามได้เตรียมพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานสำหรับศูนย์กลางสื่อ และสร้างภาวะแวดล้อมที่น่าพอใจสำหรับนักข่าวต่างชาติเพื่อทำการรายงานข่าวการประชุมสุดยอดครั้งนี้
สำนักข่าวเวียดนาม นิวส์ เอเจนซีรายงานว่า นายเหงียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้สั่งการให้กระทรวงและภาคส่วนต่างๆ พยายามอย่างเต็มที่ในด้านการรักษาความปลอดภัย เพื่อให้การประชุมสุดยอดในครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี
นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนามยังได้เรียกร้องให้ประชาชนในท้องถิ่นร่วมมือกันเพื่อทำให้ภาพพจน์ของฮานอยเป็นที่นิยมและเป็นมิตร ด้วยการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านการขนส่ง รวมถึงการปกป้องสิ่งแวดล้อม และภูมิทัศน์สาธารณะ
นายฟามกล่าวเสริมว่า "เวียดนามที่สวยงามและความสำเร็จทางเศรษฐกิจจะเป็นที่รู้จักมากขึ้นในเวทีโลก ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาเวียดนามมากขึ้น สื่อต่างประเทศจะกล่าวถึงเศรษฐกิจ นโยบายและทิศทางของเวียดนาม โดยเฉพาะสื่อทางด้านเศรษฐกิจ"
บรรดาผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า เวียดนามจะได้รับประโยชน์จากการประชุมสุดยอดครั้งนี้ โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ของการประชุม
นายฟามยังกล่าวด้วยว่า "ไม่ว่าผลการประชุมจะนำไปสู่การปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลีหรือไม่ก็ตาม การประชุมสุดยอดครั้งนี้จะนำมาซึ่งผลประโยชน์ให้กับประเทศต่างๆในภูมิภาค และการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอด จะช่วยเวียดนามในการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆในภูมิภาคให้แข็งแกร่งขึ้น รวมถึงประเทศจีน"