บรรดานักวิเคราะห์กล่าวว่า ตลาดหุ้นสหรัฐติดตามความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอย่างใกล้ชิด ขณะที่นักลงทุนและเทรดเดอร์ปรับตัวรับข้อเท็จจริงที่ว่า ความขัดแย้งจะได้รับการแก้ไขอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
อย่างไรก็ตาม แมทธิว เชสล็อค เทรดเดอร์ของตลาดหุ้นนิวยอร์กเตือนว่า แม้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีททะยานขึ้นจากความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยของแต่ละฝ่าย แต่เราก็ต้องยอมรับความจริงว่า ไม่มีอะไรที่จะจบสิ้นในวันเดียว
- ปัจจัยขับเคลื่อนตลาด
นับตั้งแต่ปีที่แล้ว ประเด็นการค้าระหว่างสหรัฐและจีนมีอิทธิพลอย่างมากต่อดัชนีหุ้นหลัก 3 ตัวของสหรัฐ ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาเศรษฐกิจของสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด
ปีเตอร์ ทัชแมน เทรดเดอร์อาวุโสของควอตโทร ซีเคียวริตีส์ เปิดเผยกับสำนักข่าวซินหัวว่า "ขณะที่มีการหารือเกี่ยวกับปัจจัยที่กำลังขับเคลื่อนตลาดนั้น ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับจีน เป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญที่สุดที่กระทบตลาดในปีที่ผ่านมา"
เขาตั้งข้อสังเกตว่า หุ้นรายตัวซึ่งมีธุรกิจเกี่ยวพันกับจีนอย่างมาก อาทิ แคทเธอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมของสหรัฐนั้น เป็นตัวขับเคลื่อนตลาดขนาดใหญ่ โดยราคาหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ปรับตัวรับในทันทีต่อข่าวเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ
ยกตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อความคืบหน้าครั้งใหม่ในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รอบที่ 9 ในกรุงวอชิงตัน
ระหว่างการเจรจารอบล่าสุดนั้น ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับเนื้อหาของข้อกตลงในเรื่องต่างๆ และมีความคืบหน้าครั้งใหม่ รวมทั้งยังได้ตัดสินใจที่จะยังคงทำการหารือกันต่อไปผ่านทางวิธีการต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพ
ทัชแมนกล่าวว่า "ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เราได้เห็นตลาดปรับตัวขึ้นและลง ตามข้อมูลที่เราได้รับ ระดับของการเก็บภาษีนำเข้า และสิ่งที่จะดำเนินต่อไป"
-- ความเชื่อมั่นอย่างระมัดระวัง
ผู้สังเกตการณ์จำนวนมากในตลาดวอลล์สตรีทระบุว่า นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการเจรจาทวิภาคีระหว่างจีนและสหรัฐ แต่ก็ตระหนักถึงความไม่แน่นอนอย่างเห็นได้ชัด ทำให้พวกเขามีความระมัดระวัง
เชสล็อคจากเวอร์ทู ไฟแนนเชียลระบุว่า "ผมคิดว่าจะมีการคาดการณ์อย่างเพียงพอเกี่ยวกับผลลัพธ์ในเชิงบวก นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ตลาดปรับตัวตาม"
"แต่ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในวันเดียว เราจะรับรู้เรื่องนี้ทีละน้อย แต่มันสำคัญที่ว่า พวกเขายังคงหารือกัน และพยายามจะบรรลุข้อตกลงจากการเจรจานี้" เขากล่าวเสริม
มาร์ค ออตโต เทรดเดอร์ของจีทีเอส ก็ระบุถึง ความไม่แน่ใจในเรื่องดังกล่าว
เขาระบุว่า "ตลาดกำลังบอกกับเราว่า ตลาดคาดหวังผลในเชิงบวกจากการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ" และเสริมว่า "มีความเป็นไปได้ที่จำเป็นจะต้องขยายไทม์ไลน์เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ที่อ่อนไหว"
ทัชแมนบ่งชี้ถึงแนวโน้มที่ระมัดระวังมากกว่า โดยระบุว่า เรื่องราวเกี่ยวกับการค้าจีน-สหรัฐได้เปลี่ยนแปลงไปหลายครั้ง นับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว ทำให้ยากที่จะคาดการณ์เกี่ยวกับเนื้อหาของข้อตกลงการค้า
"การหารือและเรื่องราวเกี่ยวกับทำเนียบขาวที่เรามีในขณะนี้นั้น เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนอย่างมาก" เขากล่าว "ดังนั้น การหารือจะเปลี่ยนแปลงไปแบบวันต่อวัน และตลาดก็จะปรับตัวตามนั้น"
-- เสียงเรียกร้องเพิ่มขึ้น
ในรายงานเดือนมี.ค.หัวข้อ "ผลกระทบของการค้าโลกปี 2561 ต่อราคาและสวัสดิการของสหรัฐ" นั้น นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก พบว่า ผู้บริโภคสหรัฐได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
บรรดานักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า "ผลกระทบอย่างเต็มที่ของการเก็บภาษีนำเข้า ตกอยู่ที่ผู้บริโภคภายในประเทศ โดยรายได้ที่แท้จริงในสหรัฐลดลง 1.4 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือนภายในสิ้นปี 2561"
รายงานระบุว่า ในช่วงปี 2561 สงครามการค้าทำให้สหรัฐจนลงโดยรวม ขณะที่พบว่าความสูญเสียต่อผู้บริโภคสหรัฐนั้นสูงเกินกว่ารายได้จากการกำหนดภาษีนำเข้าใหม่
มีเสียงเรียกร้องมากขึ้นให้ยุติสงครามการค้า โดยนายเอมิต คานเดลวอล ศาสตราจารย์ด้านธุรกิจโลกจากโรงเรียนธุรกิจโคลัมเบีย เปิดเผยกับสำนักข่าวซินหัวว่า นักลงทุนและภาคธุรกิจยินดีที่จะเห็นการยุติสงครามการค้า
คานเดลวอลกล่าวว่า "มีความไม่แน่นอนอย่างมากเกี่ยวกับระดับของอัตราภาษีนำเข้า ผลิตภัณฑ์อะไรบ้างที่จะได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้า และ ประเทศใดบ้างจะได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้า"
"ผมคิดว่า นักลงทุนและนักธุรกิจจำนวนมาก จะขานรับข้อตกลงที่อาจจะลดอุปสรรคต่างๆ เพื่อกลับไปสู่ภาวะที่เคยเป็นก่อนเกิดสงครามการค้า" คานเดลวอลกล่าว สำนักข่าวซินหัวรายงาน