ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินจากจีนและสหรัฐเห็นพ้องกันในการประชุมร่วมกันว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีนได้เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และแนวโน้มการเติบโตของตลาดหุ้นจีน
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางรายเชื่อว่า ความพยายามในเชิงรุกของบรรดาบริษัทของจีนในการใช้เทคโนโลยีแนวหน้า (Frontier technology) อาทิ บล็อกเชน และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะ บริการทางการเงิน จะช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกในมูลค่าของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
-- มาตรการกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
คริสโตเฟอร์ วีแกนด์ ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทรอยัล บริดจ์ แคปิตอลเปิดเผยในการประชุม Columbia China Prospects Conference ว่า "ผมคิดว่า รัฐบาลจีนสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยอยู่ในกระบวนการกระตุ้นที่เหมาะสมในขณะนี้" และเสริมว่า มาตรการกระตุ้นด้านการคลังก็ได้ช่วยหนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วย
ในเชิงเศรษฐกิจ หากรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ก็จะเพิ่มปริมาณเงินเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ และส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น
นายวีแกนด์ตั้งข้อสังเกตว่า จีนอาจเพิ่มเงินหมุนเวียน ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวอย่างยั่งยืนด้วยตัวเอง หากยังคงมีการดำเนินมาตรการกระตุ้นด้านการเงิน และสภาพคล่องในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง อาทิ การปรับลดภาษี และการผ่อนคลายสินเชื่อ
สำนักงานสถิติแห่งชาติ (NBS) รายงานเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนขยายตัว 6.4% เมื่อเทียบรายปีในไตรมาสแรก ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ และเท่ากับไตรมาส 4/2561
ในการดำเนินการเพื่อกระตุ้นตลาดหุ้นนั้น จีนได้ปรับลดภาษีและค่าธรรมเนียมลงอย่างมากสำหรับภาคธุรกิจ และนักลงทุนรายย่อยราว 1.94 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2561
ส่วนในปี 2562 รัฐบาลจีนจะปรับลดภาระภาษีและเงินสมทบประกันสังคมของบริษัทต่างๆ ลงประมาณ 2.98 แสนล้านดอลลาร์
นายจิน เหวิน กรรมการผู้จัดการของ QMA ซึ่งอยู่ในเครือของ Prudential Global Investment Management กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นที่สำคัญดังกล่าวได้ช่วยสนับสนุนตลาดจีน ซึ่งส่งแรงหนุนไปยังตลาดทั่วโลก
นายจินกล่าวถึงความคืบหน้าด้านการค้าในช่วงที่ผ่านมาของจีนและสหรัฐ รวมถึงท่าทีที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต่อการปรับอัตราดอกเบี้ย จะช่วยกำหนดแนวโน้มที่ค่อนข้างดีในตลาดหุ้นทั่วโลก
ในฐานะผู้จัดการกองทุน เขาเชื่อว่า ปัจจัยมหภาคได้ช่วยหนุนการประเมินของนักลงทุนต่อประสิทธิภาพของตลาดในตลาดเกิดใหม่ที่สำคัญๆ โดยเฉพาะจีน ซึ่งถูกผลักดันในเบื้องต้นโดยความเชื่อมั่นด้านปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึง การแข่งขันในตลาด การขยายตัวของ GDP และการคาดการณ์เงินเฟ้อ
"ในตลาดเกิดใหม่ เราชอบบราซิลและจีนในแง่ของการขยายตัวของ GDP แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลง และมูลค่าของตลาด" นายจินกล่าว "ในฐานะนักลงทุน เราสามารถใช้สัญญาณเหล่านั้น พร้อมด้วยความเชื่อมั่นอย่างมาก เพื่อตัดสินใจในการประเมินผลตอบแทนและความยั่งยืนในอนาคต"
เขาตั้งข้อสังเกตด้วยว่า จีนเป็นตลาดในอุดมคติสำหรับบริษัทของเขาในการเพิ่มโอกาสด้านการลงทุนมากขึ้นในอนาคต "เราเชื่อว่าด้วยความสร้างสรรค์ ศักยภาพและประสิทธิภาพของตลาด นี่จะเป็นตลาดที่เหมาะสมสำหรับเราในการแสวงหาผลประโยชน์"
เอ็มมา เหลียว ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอัลเทรน เทคโนโลยีเชื่อว่า โอกาสในการขยายตัวในจีนส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ การผลิต เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ แบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภค และเฮลธ์ แคร์ ซึ่งเป็นผลจากภาวะการเงินที่เหมาะสมมากขึ้น ขณะที่มีแรงกดดันด้านกฏระเบียบลดน้อยลง
"โดยส่วนตัวนั้น ดิฉันเชื่อว่า จีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุดสำหรับประชาชนจำนวนมากในแง่ของโอกาสการขยายตัว และดิฉันจะดำเนินการตามแนวโน้มนั้น และตัดสินใจที่จะเริ่มดำเนินการบริษัทเทคโนโลยีในจีน" นางเหลียวกล่าว โดยบริษัทอัลเทรน เทคโนโลยี เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนสาธารณะยุคใหม่ที่ตั้งอยู่ในเมืองหางโจว
-- เทคโนโลยีแนวหน้าสำหรับบริษัทสตาร์ทอัพ
นางเหลียวกล่าวว่า สำหรับบรรดาบริษัทสตาร์ทอัพในจีนนั้น บล็อกเชน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเก็บข้อมูลที่ก้าวล้ำนั้น เป็นเทคโนโลยีแนวหน้าที่แท้จริง และเป็นการแบ่งปันทางเศรษฐกิจอีกระดับ ซึ่งจะทำให้บริษัทเหล่านั้นสามารถเข้าถึงข้อมูลจำนวนมาก เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวมีราคาสูงและถูกซื้อโดยบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรม อาทิ อาลีบาบา ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านอี-คอมเมิร์ซ และบริษัทเทนเซนต์ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านอินเทอร์เน็ต สำหรับการพัฒนาทางด้าน AI
มีการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนสำหรับสกุลเงินเสมือนจริง อาทิ บิทคอยน์ และ มีการใช้บล็อกเชนเพิ่มขึ้นสำหรับการเก็บบันทึกข้อมูลอื่นๆ
"บล็อกเชนเป็นอีกระดับขั้นของการแบ่งปันทางเศรษฐกิจ ซึ่งหมายความว่า คุณไม่ต้องซื้อฐานข้อมูลส่วนกลางอีกต่อไป" นางเหลียวกล่าว
"ส่วน AI นั้น ขึ้นอยู่กับว่าใครมีข้อมูลมากกว่า บริษัทขนาดเล็กและบริษัทสตาร์ทอัพเข้าถึงข้อมูลได้อย่างจำกัด ซึ่งเป็นอุปสรรคสำหรับพวกเขา" เธอระบุ
นายเชา หุยหนิง ประธานฝ่ายการเงินของบัณฑิตวิทยาลัยธุรกิจเฉิง กงกล่าวว่า การสร้างรูปแบบธุรกิจบล็อกเชนสำหรับการแบ่งปันทางเศรษฐกิจเป็น "แนวคิดที่ยอดเยี่ยม" แม้บริษัทต่างๆ จะต้องใช้เวลาสักระยะในการทำความเข้าใจและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวก็ตาม
เขาระบุว่า มีแนวโน้มที่จะมีการใช้บล็อกเชนในภาคบริการทางการเงินมากที่สุดในอนาคต รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัล หุ้นและสกุลเงินดิจิทัล สำหรับการบันทึกข้อมูลการซื้อขาย การชำระบัญชีธุรกรรมต่างๆ ในฐานข้อมูลแบบกระจายศูนย์ ซึ่งมีระดับความปลอดภัยสูง
นายเชาระบุว่า เทคโนโลยีบล็อกเชนจะลดช่องว่างระหว่างการทำธุรกรรมออฟไลน์และออนไลน์โดยรับประกันว่าข้อมูลที่เกี่ยวข้องมีความถูกต้อง และจะไม่ถูกแก้ไขหรือลบทิ้ง
จากมุมมองของนักลงทุนนั้น นายจินระบุว่า นักลงทุนทั่วโลกได้ปรับตัวรับการขยายตัวในระดับสูงทั้งในด้านยอดขายและผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีของจีน เนื่องจากมีอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากนักลงทุนและผู้บริโภค ซึ่งก็จะทำให้นักลงทุนเพิ่มการประเมินมูลค่าของบริษัทจีนเหล่านั้น