หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและผู้ผลิตชิพในตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงเมื่อวันศุกร์ หลังจากบริษัทบรอดคอมเปิดเผยรายได้ที่ต่ำกว่าคาดในในไตรมาส 2 ของปีงบการเงินบริษัท ซึ่งสิ้นสุดในวันที่ 5 พ.ค. นอกจากนี้ ทางบริษัทยังได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์รายได้สำหรับปีงบการเงินปัจจุบัน สู่ระดับ 2.250 หมื่นล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ระดับ 2.450 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 2.431 หมื่นล้านดอลลาร์
การร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้นนิวยอร์กส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดอ่อนแรงลงเมื่อวันศุกร์ และยังได้ฉุดดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดปรับตัวลงในวันนี้ด้วย
-- รัฐบาลอินเดียประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐจำนวน 28 รายการ ซึ่งรวมถึงอัลมอนด์ แอปเปิล และวอลนัท โดยมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวานนี้ เพื่อตอบโต้รัฐบาลสหรัฐที่ยกเลิกสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ของอินเดีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกแบบปลอดภาษีของอินเดียมูลค่าสูงถึง 5.6 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ มาตรการตอบโต้ของอินเดียยังมีขึ้นหลังจากรัฐบาลสหรัฐได้ปฏิเสธที่จะยกเว้นการปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากอินเดีย
หนังสือพิมพ์เพรส ทรัสต์ ออฟ อินเดียรายงานว่า การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐในครั้งนี้ จะทำให้อินเดียมีรายได้ราว 217 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับรายได้ที่สหรัฐได้รับจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมของอินเดีย
-- ชาวฮ่องกงราว 2 ล้านคนยังคงเดินหน้าชุมนุมประท้วง เพื่อกดดันให้นางแคร์รี แลม ผู้ว่าการเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ลาออกจากตำแหน่ง และยกเลิกร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนอย่างถาวร โดยชาวฮ่องกงยังคงปักหลักประท้วงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลฮ่องกงภายใต้การนำของนางแลม ได้ตัดสินใจเลื่อนการลงมติกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนออกไปอย่างไม่มีกำหนดก็ตาม
รายงานระบุว่า ชาวฮ่องกงเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนอย่างถาวร ไม่ใช่เพียงแค่เลื่อนการลงมติร่างกฎหมายดังกล่าวเท่านั้น โดยเมื่วันเสาร์ที่ผ่านมา นางแลมได้ออกแถลงการณ์ว่า การลงมติร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจะถูกเลื่อนออกไป แต่นางแลมได้ปฏิเสธที่จะยกเลิกร่างกฎหมายดังกล่าว
-- นายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐ คาดการณ์ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน อาจจะไม่มีการทำข้อตกลงการค้าร่วมกันในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม G20 ที่ญี่ปุ่นในช่วงปลายเดือนนี้
นายรอสส์ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลว่า เขาคิดว่าสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นในการประชุม G20 ครั้งนี้ อาจจะเป็นแค่การตกลงกันว่า ทั้งสองฝ่ายจะจัดการเจรจาขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับกล่าวว่า การพบกันระหว่างสองผู้นำในการประชุม G20 ซึ่งยังไม่มีการยืนยันในขณะนี้ อาจจะมีการกำหนดกฎระเบียบใหม่สำหรับการเจรจา และอาจมีการกำหนดวันเวลาว่าควรจัดการเจรจาทางเทคนิคที่ลงรายละเอียดอีกเมื่อใด
-- สื่อต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าววงในว่า ยอดขายสมาร์ทโฟนในต่างประเทศของบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ จะปรับตัวลดลงถึง 40-60 ล้านเครื่องในปีนี้ หรือประมาณ 40-60% เมื่อเทียบกับยอดขายสมาร์ทโฟนของหัวเว่ยในต่างประเทศประมาณ 100 ล้านเครื่องเมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา จากยอดขายทั้งในจีนและทั่วโลกรวมกันประมาณ 206 ล้านเครื่อง
ตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังหัวเว่ยถูกรัฐบาลสหรัฐประกาศขึ้นบัญชีดำห้ามทำการซื้อขายกับบริษัทอเมริกัน โดยหัวเว่ยมีปัญหากับรัฐบาลสหรัฐมานานกว่า 1 ปีแล้ว หลังรัฐบาลสหรัฐแสดงความกังวลว่า อุปกรณ์ของหัวเว่ยอาจช่วยให้รัฐบาลจีนสามารถสอดแนมสหรัฐได้ จนทำให้ก่อนหน้านี้บริษัทอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล (Google) ได้ระงับการทำธุรกิจกับบริษัทหัวเว่ย แม้หลังจากนั้นไม่นานกระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้ประกาศยกเลิกคำสั่งดังกล่าวเป็นการชั่วคราว
-- นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม โดยคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ BOJ มีกำหนดจัดการประชุมระยะเวลาสองวัน ในวันที่ 19-20 มิ.ย.
นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการ BOJ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า BOJ อาจมีการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติมหากจำเป็น แต่ยังไม่ใช่ขณะนี้เมื่อประเมินจากภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
นายคุโรดะยังกล่าวด้วยว่า BOJ จะเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายหากเงินเฟ้อส่งสัญญาณไม่เป็นไปตามเป้าหมาย 2% โดยอาจอยู่ในรูปแบบของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ขณะนี้ติดลบอยู่แล้ว ไปจนถึงปรับลดเป้าหมายบอนด์ยีลด์ เพิ่มฐานเงิน และเพิ่มการซื้อสินทรัพย์
-- นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 18-19 มิ.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า เฟดคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ อย่างไรก็ดี FedWatch ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาส 79% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือนก.ค. และมีโอกาส 90% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. และมีโอกาส 97% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธ.ค.
-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ อินโดนีเซียเตรียมเปิดเผยยอดนำเข้า, ส่งออก และดุลการค้าเดือนพ.ค. ทางด้านสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนมิ.ย.จากเฟดนิวยอร์ก และดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนมิ.ย. จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB)
ส่วนในวันพรุ่งนี้ ธนาคารกลางออสเตรเลียเปิดเผยรายงานการประชุม ขณะที่จีนเตรียมเปิดเผยดัชนีราคาบ้านเดือนพ.ค. เยอรมนีเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ค. อียูเปิดเผยดุลการค้าเดือนเม.ย.และอัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ค. ทางด้านสหรัฐเตรียมเปิดเผยตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนพ.ค.