ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อสหรัฐว่า ตนอาจเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มเติม หากตนและปธน.สี จิ้นผิงของจีน ไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาการค้าในการประชุม G20 ที่นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงสุดสัปดาห์นี้
ปธน.ทรัมป์ เปิดเผยว่า แผนเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้หากทั้งสองประเทศบรรลุข้อตกลงกันไม่ได้ แต่อาจเรียกเก็บที่อัตรา 10% ไม่ใช่ 25% ขณะเดียวกัน ก็ยังขู่ที่จะใช้มาตรการกีดกันการทำธุรกิจกับบริษัทจีนด้วย
ปธน.ทรัมป์ เปิดเผยว่า ตนไม่ได้เกลียดชังประเทศจีนหรือตัวผู้นำประเทศ แต่มาตรการเหล่านี้มีขึ้นเพราะสหรัฐถูกเอาเปรียบมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการลดค่าเงินหยวนเพื่อให้จีนมีความได้เปรียบ
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ ยังได้วิจารณ์ประเทศเวียดนามด้วย เพราะเวียดนามได้รับผลพลอยได้จากนโยบายเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐ เพราะหลาย ๆ บริษัทได้ย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังเวียดนาม เพื่อให้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐได้โดยไม่ถูกเก็บภาษีนำเข้า
ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้น หลังนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐและจีนใกล้บรรลุข้อตกลงการค้าแล้ว
"เราทำข้อตกลงได้ราว 90% แล้ว และผมคิดว่าเรามีทางที่จะบรรลุข้อตกลงโดยสมบูรณ์" นายมนูชินกล่าวต่อสำนักข่าว CNBC
นายมนูชินกล่าวว่า เขามีความเชื่อมั่นว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงจะสามารถสร้างความคืบหน้าต่อการเจรจาการค้าในการประชุม G20 ที่นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงสุดสัปดาห์นี้
"พวกเขาต้องการกลับสู่โต๊ะเจรจา และดำเนินการเจรจาต่อไป เพราะจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของพวกเขา และเศรษฐกิจของสหรัฐ หากมีการค้าที่สมดุล และเรารักษาความสัมพันธ์นี้ต่อไป" นายมนูชินกล่าว
อย่างไรก็ดี นายมนูชินไม่ได้เปิดเผยปัญหาติดขัดอีก 10% ในการเจรจาการค้าแต่อย่างใด
ทั้งนี้ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนประสบความล้มเหลวในเดือนที่แล้ว โดยที่ประชุมไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้า ขณะที่สหรัฐได้เพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% ส่งผลให้จีนทำการตอบโต้ ด้วยการเพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10%
นอกจากนี้ สหรัฐได้ขึ้นบัญชีดำบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ทำให้บริษัทไม่สามารถซื้อสินค้าจากสหรัฐ และสหรัฐยังได้เพิ่มรายชื่อบริษัทจีนอีก 5 แห่งเข้าไปในบัญชีดำดังกล่าวในสัปดาห์ที่แล้ว