ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ได้แถลงยืนยันว่า เรือรบของสหรัฐได้ยิงโดรนลำหนึ่งของอิหร่านตกในช่องแคบฮอร์มุซ
ปธน.ทรัมป์ได้แถลงที่ทำเนียบขาวว่า เรือรบ USS Boxer ของกองทัพเรือสหรัฐ ได้ยิงทำลายโดรนลำหนึ่งของอิหร่านซึ่งคุกคามเรือรบของสหรัฐ โดยอยู่บินห่างจากเรือรบภายในระยะ 1,000 หลา และไม่สนใจคำเตือนหลายครั้งของสหรัฐ
ปธน.ทรัมป์ระบุว่า โดรนลำดังกล่าวคุกคามความปลอดภัยของเรือและลูกเรือของสหรัฐ และการยิงโดรนดังกล่าวถือเป็นการป้องกันตัว
-- สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ดีดตัวขึ้นกว่า 1% ในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐได้แถลงยืนยันว่า เรือรบของสหรัฐได้ยิงทำลายโดรนลำหนึ่งของอิหร่านตกในช่องแคบฮอร์มุซ โดยอ้างว่าโดรนลำดังกล่าวคุกคามเรือรบของสหรัฐ
ณ เวลา 07.53 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนส.ค. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาด NYMEX ปรับตัวขึ้น 61 เซนต์ หรือ 1.10% แตะที่ระดับ 55.91 ดอลลาร์/บาร์เรล
-- จับตาตลาดหุ้นเอเชียวันนี้ คาดปรับตัวเพิ่มขึ้นตามดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กซึ่งปิดบวกเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนขานรับนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก ที่ออกมาสนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งปัจจัยดังกล่าวช่วยให้ตลาดดีดตัวขึ้นหลังจากที่ร่วงลงในช่วงแรก อันเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึง เน็ตฟลิกซ์
-- นายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก ได้ออกมาสนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังชะลอตัว และสร้างความกังวลให้กับหลายภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ
นายวิลเลียมส์ได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมประจำปีของ Central Bank Research Association ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวานนี้ โดยระบุว่า "การใช้มาตรการป้องกันเอาไว้ก่อนที่จะเกิดหายนะนั้น ถือเป็นแนวทางที่ดีกว่า และเมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำขณะนี้ ผมคิดว่าธนาคารกลางควรจะดำเนินการอย่างรวดเร็วและจริงจัง"
-- หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดิ่งลง 10.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยจำนวนลูกค้าทั่วโลกในไตรมาส 2 ที่ระดับ 2.7 ล้านราย ซึ่งต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ 5 ล้านราย อันเป็นผลจากราคาค่าบริการที่เพิ่มขึ้น และจำนวนซีรีย์เรื่องใหม่ที่ลดน้อยลง
-- นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนได้เจรจาการค้าผ่านทางการสนทนาทางโทรศัพท์เป็นวันที่ 2 เมื่อวานนี้ พร้อมกับกล่าวว่า เรื่องของหัวเว่ยไม่ใช่ข้อขัดแย้งหลักของการเจรจา แต่เสริมว่า ทั้งสองฝ่ายยังคงมีประเด็นที่ซับซ้อนที่ต้องเจรจากันอีกมาก
-- มอร์แกน สแตนลีย์ เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไรและรายได้ในไตรมาส 2 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ มอร์แกน สแตนลีย์ ระบุว่า ธนาคารมีกำไรที่ระดับ 1.23 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.14 ดอลลาร์/หุ้น ขณะเดียวกัน ธนาคารมีรายได้ 1.024 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 9.99 พันล้านดอลลาร์
-- คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป (EU) สั่งปรับบริษัทควอลคอมม์ อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิพรายใหญ่ที่สุดของโลก เป็นจำนวนเงิน 242 ล้านยูโร (272 ล้านดอลลาร์) ในข้อหาสกัดกั้นคู่แข่งในตลาด
EC เปิดเผยว่า ควอลคอมม์จงใจตั้งราคาชิพในระดับต่ำเกินจริงในช่วงปี 2552-2554 โดยมีเป้าหมายที่จะขจัดบริษัทไอเซรา ซึ่งเป็นผู้ผลิตซอฟท์แวร์โทรศัพท์ ให้ออกจากตลาด
-- นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ กล่าวว่า กระทรวงการคลังสหรัฐจะออกกฎระเบียบควบคุมบิตคอยน์ และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆอย่างเข้มงวด เพื่อสร้างความโปร่งใสต่อสกุลเงินเหล่านี้
"เราจะสร้างความมั่นใจว่า บิตคอยน์จะไม่เป็นเหมือนบัญชีธนาคารสวิส ซึ่งสร้างความเสี่ยงต่อระบบการเงิน และเราจะระวังไม่ให้มีการใช้บิตคอยน์ในทางที่ผิดกฎหมาย" นายมนูชินกล่าว
ทั้งนี้ ธนาคารสวิสบางแห่งได้ให้บริการเปิดบัญชีลับแก่ลูกค้า โดยจะมีการเปิดเผยแต่เพียงหมายเลขบัญชี ซึ่งจะเป็นที่รู้กันเฉพาะลูกค้าและธนาคาร
-- นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะตรึงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า พร้อมกับส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. และการเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในเดือนต.ค.
ทั้งนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ ECB จะจัดการประชุมในวันที่ 25 ก.ค. โดยมีการคาดการณ์กันว่า ที่ประชุมจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมกับคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.40% ขณะที่คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%
-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 8,000 ราย สู่ระดับ 216,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก พุ่งขึ้นสู่ระดับ 21.8 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.ปีที่แล้ว และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.0 หลังจากแตะระดับ 0.3 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.
Conference Board เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ปรับตัวลง 0.3% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการร่วงลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว สู่ระดับ 111.5 หลังจากทรงตัวในเดือนพ.ค. และเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนเม.ย. ดัชนีที่ลดลงนี้ได้รับผลกระทบจากการร่วงลงของคำสั่งซื้อใหม่ในภาคการผลิต การอนุญาตสร้างบ้าน และการเพิ่มขึ้นของตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน
-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญวันนี้ สหรัฐเตรียมรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน เวลา 21.00 น. ตามเวลาไทย โดยข้อมูลที่เปิดเผยล่าสุดระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐแตะระดับ 98.2 ในเดือนมิ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 98.0 และสูงกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 97.9
ก่อนหน้านี้ ดัชนีความเชื่อมั่นพุ่งแตะระดับ 102.4 ในช่วงต้นเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี แต่เป็นการสำรวจก่อนที่การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนประสบความล้มเหลวในเดือนดังกล่าว ส่งผลให้สหรัฐเพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% และทำให้จีนทำการตอบโต้ ด้วยการเพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10%
ดัขนีความเชื่อมั่นได้ร่วงลงจากต้นเดือนพ.ค.จนถึงช่วงปลายเดือน ขณะที่นักลงทุนมีความวิตกต่อการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเป็นการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค 500 รายต่อภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งได้แก่ ฐานะการเงินส่วนบุคคล ภาวะเงินเฟ้อ การว่างงาน อัตราดอกเบี้ย และนโยบายรัฐบาล