ที่ประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ หรือ G7 วันนี้ คาดว่า จะหารือกันถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ในขณะที่ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก กำลังส่อแววปะทุรุนแรงขึ้นอีกครั้ง
สำหรับวันนี้ ซึ่งเป็นวันที่สองของการประชุม มีประเด็นสำคัญอยู่ที่ สมาชิกที่มาร่วมประชุมจะสามารถบรรลุความร่วมมือในการป้องกันการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในอนาคตร่วมกันได้หรือไม่ ท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังวุ่นวายทั้งข้อพิพาทระหว่างสหรัฐกับจีน และความไม่แน่นอนในการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ
นอกจากนี้ บรรดาผู้นำประเทศที่มาร่วมการประชุมทั้งจากอังกฤษ, แคนาดา, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, อิตาลี, ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา รวมถึงสหภาพยุโรป ยังคาดว่าจะแลกเปลี่ยนความเห็นกันในเรื่องความไม่เท่าเทียมและปัญหาในทวีปแอฟริกาด้วย
ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่การประชุมซัมมิต G7 จะเปิดฉากขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่เมืองบิอาร์ริตซ์ของฝรั่งเศส ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ได้ออกมาตอบโต้จีนในการทำสงครามการค้าครั้งล่าสุด ด้วยการประกาศปรับขึ้นภาษีอีก 5% จากสินค้านำเข้าของจีนมูลค่ารวมทั้งสิ้นราว 5.50 แสนล้านดอลลาร์
ปธน.ทรัมป์ประกาศมาตรการล่าสุดดังกล่าวในทวิตเตอร์เมื่อวันศุกร์ หลังจากที่จีนประกาศเก็บภาษีสินค้าสหรัฐวงเงิน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งปธน.ทรัมป์ก็ได้ตอบโต้ในทันทีด้วยการเรียกร้องให้บริษัทสหรัฐย้ายการดำเนินธุรกิจออกจากจีน
ปธน.ทรัมป์ระบุว่า สหรัฐจะปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนวงเงิน 2.50 แสนล้านดอลลาร์เป็น 30% จาก 25% ในปัจจุบัน โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันครบรอบ 70 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน
สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐได้ยืนยันถึงวันบังคับใช้ภาษีนำเข้าใหม่ดังกล่าว แต่ระบุว่า จะกำหนดช่วงเวลาในการขอความเห็นสาธารณะก่อนที่จะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าที่ระดับ 30% ในวันที่ 1 ต.ค.
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังได้ประกาศปรับขึ้นภาษีที่ได้วางแผนไว้สำหรับสินค้าจีนวงเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์ เป็น 15% จาก 10% ด้วย โดยจะเริ่มเก็บภาษีผลิตภัณฑ์บางส่วนตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. และเลื่อนการเก็บภาษีสินค้าดังกล่าวราวครึ่งหนึ่งไปเป็นวันที่ 15 ธ.ค.