ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบ 120.93 จุด หรือ 0.47% เมื่อคืนนี้ หลังจากตลาดพันธบัตรสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve หรือภาวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าอัตราผลตอบแทนระยะยาว ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากถ้อยแถลงของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนออกมาสวนทางกับที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ให้ความหวังกับตลาดไว้ก่อนหน้านี้
-- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve อีกครั้งเมื่อคืนนี้ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี อยู่สูงกว่าพันธบัตรอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงแนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ณ เวลา 21.23 น. เมื่อคืนนี้ ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี อยู่ที่ระดับ 1.549% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 1.513% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 30 ปี อยู่ที่ระดับ 1.987%
ทั้งนี้ ตลาดพันธบัตรสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve หลายครั้งในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนวิตกว่า การทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน จะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว
-- นายเกิง ชวง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวยืนยันว่า เขาไม่ได้รับทราบข่าวที่ว่า เจ้าหน้าที่จีนได้โทรศัพท์ 2 ครั้งมายังเจ้าหน้าที่สหรัฐเพื่อเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาเจรจาการค้า ตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวอ้าง
นายเกิงกล่าวยืนยันไม่ทราบเรื่องดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวานนี้ หลังจากที่เขาได้กล่าวปฏิเสธเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
ด้านนายหู สีจิน บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ โกลบอล ไทมส์ของจีน ก็ทวีตข้อความ ยืนยันว่า คณะเจรจาการค้าจากทั้งสองฝ่ายไม่ได้พูดคุยกันทางโทรศัพท์แต่อย่างใด
"เท่าที่ผมทราบ เจ้าหน้าที่เจรจาการค้าจากจีนและสหรัฐไม่ได้สนทนากันทางโทรศัพท์ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายติดต่อกันในระดับเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค และไม่ได้มีความสำคัญมากอย่างที่ปธน.ทรัมป์พูดไว้ โดยจีนยังคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงจุดยืน และไม่ได้ยอมแพ้ต่อแรงกดดันจากสหรัฐ" นายหูกล่าว
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวก่อนหน้านี้ว่า "เมื่อคืนนี้ จีนได้โทรศัพท์มาหาเจ้าหน้าที่เจรจาการค้าระดับสูงของเรา และพูดว่า 'ให้เรากลับสู่โต๊ะเจรจา' ดังนั้น เราจะกลับสู่โต๊ะเจรจา ซึ่งผมคิดว่าพวกเขาต้องการทำบางสิ่งบางอย่าง"
-- นายวิลเลียม ดัดลีย์ อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กระบุในบทความที่ปรากฎในสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า เฟดไม่ควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากการที่ปธน.ทรัมป์ทำสงครามการค้ากับจีน
"เจ้าหน้าที่เฟดเผชิญทางเลือกคือ จะช่วยให้รัฐบาลทรัมป์เดินหน้าไปสู่หนทางหายนะในการเพิ่มความรุนแรงของการทำสงครามการค้า หรือจะส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า ถ้ารัฐบาลทำเช่นนี้ ตัวของประธานาธิบดี ไม่ใช่เฟด จะต้องแบกรับความเสี่ยง ซึ่งรวมทั้งความเสี่ยงจากการพ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งหน้า"
"การที่ปธน.ทรัมป์ได้รับเลือกตั้งครั้งใหม่จะสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และเศรษฐกิจโลก และต่อความเป็นอิสระของเฟด และความสามารถของเฟดในการบรรลุเป้าหมายด้านการจ้างงานและเงินเฟ้อ ถ้าเป้าหมายของนโยบายการเงินคือการบรรลุผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจในระยะยาวที่ดีที่สุด เฟดก็จะต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้การตัดสินใจของเฟดส่งผลกระทบต่อผลการเลือกตั้งในปีหน้า"
"เจ้าหน้าที่เฟดควรระบุอย่างเปิดเผยว่า เฟดจะไม่ช่วยรัฐบาลที่มักทำการตัดสินใจที่ผิดพลาดเกี่ยวกับนโยบายการค้า โดยระบุอย่างชัดเจนว่าปธน.ทรัมป์จะต้องรับผลการกระทำของเขาเอง การกระทำเช่นนี้จะเป็นการส่งสัญญาณว่าเฟดไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องกับการทำสงครามการค้า ขณะที่ยังคงสามารถรักษาเครื่องมือของเฟดในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับไว้ใช้ในอนาคตในการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ" นายดัดลีย์ระบุ
-- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความเมื่อคืนนี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้ให้ความสนใจต่อกลุ่มผู้ผลิตของสหรัฐ และมักตัดสินใจผิดพลาด
"เฟดชอบที่จะดูผู้ผลิตของเราดิ้นรนในการส่งออก ขณะที่ประเทศอื่นๆในโลกเป็นฝ่ายได้รับประโยชน์ มีใครเคยดูบ้างไหมว่าประเทศส่วนใหญ่กำลังทำอะไรเพื่อเอาเปรียบสหรัฐ เฟดได้ทำการตัดสินใจผิดพลาดมาเป็นเวลานานเกินไปแล้ว" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ
-- ผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐลดลงสู่ระดับ 135.1 ในเดือนส.ค. จากระดับ 135.8 ในเดือนก.ค. แต่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 129.5
นางลินน์ ฟรองโก ผู้อำนวยการอาวุโสของ Conference Board กล่าวว่า หากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังคงดำเนินต่อไป ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐก็จะปรับตัวลงอีก
ดัชนีความเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันพุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2543 สวนทางดัชนีความเชื่อมั่นในช่วง 6 เดือนข้างหน้าที่อ่อนตัวลง
-- ผลสำรวจของเอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ ระบุว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐเพิ่มขึ้น 3.1% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว แต่ชะลอตัวจากที่เพิ่มขึ้น 3.3% ในเดือนพ.ค.
ส่วนดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.1% ในเดือนมิ.ย. ชะลอตัวจากระดับ 2.4% ในเดือนพ.ค.
ราคาบ้านเพิ่มขึ้นสูงสุดในเมืองฟีนิกซ์ ลาสเวกัส และแทมปา
-- นายอเล็กซานเดอร์ ซี เฟลด์แมน ประธานสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (United States - ASEAN Business Council - USABC) เปิดเผยกับสำนักข่าว CNBC ว่า นักลงทุนกำลังให้ความสนใจต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
นายเฟลด์แมนระบุว่า ที่ผ่านมา เวียดนามมักได้รับการกล่าวถึงในฐานะประเทศหนึ่งที่ได้รับประโยชน์อย่างมากจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้น เนื่องจากบริษัทต่างๆพากันย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีหากมีการส่งออกไปยังสหรัฐ
อย่างไรก็ดี ตลาดแรงงานของเวียดนามเริ่มตึงตัวในขณะนี้ ทำให้ธุรกิจต่างๆเริ่มมองหาฐานการผลิตใหม่ ซึ่งรวมถึงไทย
นายเฟลด์แมนกล่าวว่า บริษัทสหรัฐที่ผลิตสินค้า"แบรนด์เนม" 3 แห่ง ได้เริ่มโยกย้ายพนักงานออกจากจีนเพื่อเข้าสู่ไทยแล้ว
อย่างไรก็ดี นายเฟลด์แมนไม่ได้ระบุชื่อของบริษัททั้ง 3 แห่งดังกล่าว
-- สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่มีกำหนดการเปิดเผยวันนี้ ได้แก่ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย. ของเยอรมนีจากสถาบัน GfK และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA)
ส่วนในวันพรุ่งนี้ เกาหลีใต้จะเปิดเผยความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเดือนส.ค. เยอรมนีจะเปิดเผยอัตราว่างงานเดือนส.ค. ขณะที่อียูเตรียมเปิดเผยความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนส.ค. และสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2562 (ประมาณการครั้งที่ 2) รวมถึงยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนก.ค.