นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีนได้เรียกร้องในวันนี้ให้ประเทศในเอเชียตะวันออกร่วมมือกัน เพื่อประโยชน์ร่วมกันในการเผชิญกับความท้าทายต่างๆ
นายหลี่ระบุในบทความที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยหลายฉบับก่อนที่จะเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการเพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำจีน-อาเซียน (10+1) ครั้งที่ 22, การประชุมอาเซียน-จีน, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ (10+3) ครั้งที่ 22 และ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกครั้งที่ 14 ซึ่งจัดขึ้นในกรุงเทพ
ทั้งนี้ กลุ่มอาเซียนประกอบไปด้วย บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และ เวียดนาม
นายหลี่ได้เริ่มต้นบทความที่มีชื่อว่า "การทำงานร่วมกันเพื่ออนาคตที่สดใสของความร่วมมือในเอเชียตะวันออก" ด้วยการแสดงความยินดีในการเยือนประเทศไทย และเข้าร่วมการประชุมผู้นำประจำปีเกี่ยวกับความร่วมมือในเอเชียตะวันออก โดยเขากล่าวว่า ครั้งนี้เป็นการเยือนประเทศไทยครั้งที่สามของเขาในฐานะนายกรัฐมนตรีจีน
บทความระบุว่า จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอาเซียนเป็นเวลา 10 ปีติดต่อกัน และอาเซียนได้ขึ้นมาเป็นคู่ค้าอันดับสองในบรรดาคู่ค้าของจีนในปีนี้ ผลิตภัณฑ์พิเศษจำนวนมากของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเข้าสู่ครัวเรือนจีน ขณะที่ผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ผลิตในจีน ก็เป็นที่นิยมในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วย
นายหลี่ระบุว่า เอเชียตะวันออกเป็นเครื่องจักรที่สำคัญสำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยในช่วง 70 ปีที่ผ่านมาหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง เอเชียตะวันออกได้รักษาสันติภาพและความมั่นคงโดยรวม และประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจที่สร้างความประทับใจให้กับโลก
นายหลี่ระบุว่า "เราประสบความสำเร็จร่วมกันในการจัดการผลกระทบของวิกฤตการเงิน 2 ครั้ง, ส่งเสริมการเปิดเสรี และการอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน รวมถึงการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคมากขึ้น ทำให้เอเชียตะวันออกกลายเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีพลวัตและมีแนวโน้มที่ดีที่สุดในโลก"
นายหลี่ได้เน้นย้ำถึงความท้าทายของแรงกดดันขาลงต่อเศรษฐกิจโลก, ลัทธิปกป้องการค้าและการกระทำเพียงฝ่ายเดียวที่เพิ่มขึ้น โดยเขาเรียกร้องให้ประเทศในเอเชียตะวันออกพิจารณาว่าจะจัดการอย่างไรกับการขจัดความเสี่ยง, รักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจ, เพิ่มความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน และ ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เพื่อผลักดันความร่วมมือและการพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกต่อไปนั้น นายหลี่ได้เน้นย้ำใน 4 ด้าน ได้แก่ การรักษาสันติภาพและความมั่นคง, การส่งเสริมการเปิดกว้างและความร่วมมือ, การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน รวมถึงการยึดถือการเจรจาและการปรึกษาหารือ
นายหลี่ได้ระบุถึงการฉลองครบรอบ 45 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตจีน–ไทยในปีหน้าว่า ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างจีนและไทย จะเริ่มต้นขึ้นใหม่
นายหลี่กล่าวว่า "ทั้งสองประเทศจำเป็นต้องเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่าเพื่อเพิ่มความร่วมมือในด้านที่มีความสำคัญ เช่น การเชื่อมต่อ, นวัตกรรมด้านเทคโนโลยี, ความสามารถทางอุตสาหกรรม และความร่วมมือจากบุคคลที่สาม โดยความพยายามเหล่านี้จะช่วยอำนวยความสะดวกในการพัฒนาทั้งสองประเทศของเรา และเป็นประโยชน์มากขึ้นกับประชาชนของเรา"
นายหลี่กล่าวเสริมว่า "เราจะทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมมิตรภาพจีน-ไทยที่ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกำหนดอนาคตที่ดีขึ้นสำหรับความร่วมมือของเอเชียตะวันออกยุคใหม่"