บรรดาผู้นำของสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และประเทศคู่เจรจาได้เสร็จสิ้นการประชุมสุดยอดที่กรุงเทพฯ แล้วเมื่อวานนี้ โดยมีความคืบหน้าที่สำคัญในการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership) หรือ RCEP แม้ว่าอินเดียมีประเด็นปัญหาสำคัญที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขก็ตาม
อาเซียนและประเทศคู่เจรจาได้ตกลงกันเกี่ยวกับมาตรการที่เป็นรูปธรรม เพื่ออำนวยความสะดวกในการเชื่อมโยงกัน และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนในระหว่างการประชุมระยะเวลา 3 วัน
นอกเหนือจากการประชุมสุดยอดระหว่าง 10 ประเทศสมาชิกแล้ว อาเซียนยังได้จัดการประชุมสุดยอดกับประเทศคู่เจรจาต่างๆ อาทิ การประชุม 10+1 และการประชุม 10+3 รวมถึงการจัดประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกระหว่างอาเซียนและอีก 8 ประเทศ ซึ่งรวมถึงสหรัฐและรัสเซียด้วย
การเจรจา RCEP บรรลุความสำเร็จที่สำคัญ
แถลงการณ์ร่วมของบรรดาผู้นำที่ประกาศหลังการประชุมสุดยอด RCEP เมื่อเย็นวานนี้ ระบุว่า "15 ประเทศที่เข้าร่วม RCEP ได้สรุปการเจรจาทั้ง 20 ข้อบท และประเด็นการเข้าถึงตลาดทั้งหมด และดำเนินการปรับปรุงด้านกฎหมายเพื่อเริ่มการลงนามในปี 2563"
อย่างไรก็ตาม "อินเดียมีปัญหาที่สำคัญซึ่งยังไม่ได้รับการแก้ไข" แถลงการณ์ระบุ และเพิ่มเติมว่า "ทุกประเทศที่เข้าร่วม RCEP จะทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ในแนวทางที่ส้รางความพอใจร่วมกัน"
"การตัดสินใจขั้นสุดท้ายของอินเดียจะขึ้นอยู่กับมติที่น่าพอใจของประเด็นปัญหาเหล่านั้น"
RCEP เป็นข้อตกลงการค้าขนาดใหญ่ระหว่าง 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนและพันธมิตรการค้าเสรี 6 ประเทศ ได้แก่ จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, อินเดียออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ เมื่อเริ่มดำเนินการ RCEP จะกลายเป็นข้อตกลงการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งครอบคลุม 32.2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โลก และประชากร 3.5 พันล้านคนหรือเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรโลก โดยเศรษฐกิจของ RCEP คิดเป็นสัดส่วน 29.1% ของการค้าโลก และประมาณ 1 ใน 3 ของการลงทุนทั่วโลก
นายเชียง วันนะริธ ประธานสถาบัน Asian Vision Institute กล่าวว่า ผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากสินค้าที่มีราคาถูกลงและหลากหลายมากขึ้นจากประเทศสมาชิก RCEP และกล่าวเสริมว่า โลจิสติกมีบทบาทสำคัญในการลดต้นทุนการขนส่ง
"โครงการเชื่อมโยงทางกายภาพ และการปฏิรูปศุลกากร จำเป็นต้องได้รับการส่งเสริมเพิ่มเติมเพื่อให้ได้รับศักยภาพที่เกิดจาก RCEP" เขากล่าว
ขณะที่นายโจเซฟ แมทธิวส์ ศาสตราจารย์อาวุโสจากมหาวิทยาลัยนานาชาติ BELTEI ในกรุงพนมเปญกล่าวว่า "RCEP จะช่วยเปิดประตูแห่งโอกาสใหม่ๆ สำหรับประเทศที่มีการพัฒนาน้อยที่สุดในกล่ม เช่น กัมพูชา ลาว เวียดนาม และพม่า "
อาเซียน,จีนปรับแผนการพัฒนาเพื่อการเชื่อมโยงกัน
ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีนในปีนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ก้าวไปอีกขั้นเพื่อส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ด้วยการประสานแผนแม่บทการเชื่อมโยงอาเซียน (MPAC) 2568 และโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) เข้าด้วยกัน
ทั้งสองฝ่ายจะอาศัยข้อได้เปรียบของกันและกัน และทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, ระดมทุนทางการเงิน, อำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ส่งเสริมการเจรจาด้านนโยบาย และการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน เพื่อผลักดันการเชื่อมโยงทุกด้านในภูมิภาค
"เราต้องการการเชื่อมโยงที่ดีขึ้นสำหรับการเติบโตในภูมิภาค แผนแม่บทการเชื่อมโยงอาเซียน (MPAC) 2568 อาจไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่ด้วยความร่วมมือกับโครงการ Belt and Road ผมเห็นการไหลเวียนของสินค้าและการบริการที่ง่ายขึ้นในอาเซียนจากฝั่งจีน และอีกฝั่งหนึ่งเช่นกัน" นายแทน ค็อค ไว ทูตพิเศษของรัฐบาลมาเลเซียประจำประเทศจีนกล่าว
เพื่อให้บรรลุการพัฒนาอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล อาเซียนและจีนจะร่วมมือกันในการสร้างเครือข่ายเมืองอัจฉริยะ, สำรวจความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อปรับปรุงการดำรงชีวิตของประชาชนในกระบวนการพัฒนาความเป็นเมือง
ทั้งนี้ อาเซียนและจีนตกลงที่จะสนับสนุนให้มีการสร้างความร่วมมือด้านเมืองที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างเมืองต่างๆ ของอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้เครือข่ายเมืองอัจฉริยะในอาเซียน (ASEAN Smart Cities Network) และเมืองต่างๆ ของจีน เช่น หนานหนิง, เซียะเหมิน, หางโจว, จิ่นหนาน, คุนหมิง, เซินเจิ้น, หนานจิง และ เฉิงตู
การสร้างประชาคมอาเซียนที่ยั่งยืน
การประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้องจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ "การพัฒนาความร่วมมือเพื่อความยั่งยืน" นั้น กลุ่มอาเซียนมีความมุ่งมั่นที่จะ "ส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความยั่งยืน เพื่อให้ตระหนักถึงประชาคมอาเซียนที่มุ่งเน้นไปที่ประชาชน และประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งจะไม่ทอดทิ้งใครไว้เบื้องหลัง" แถลงการณ์ของประธานระบุหลังจากการประชุมสุดยอดอาเซียน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทยได้กล่าวในพิธีปิดการประชุมสุดยอดอาเซียนเมื่อวานนี้ว่า อาเซียนตั้งเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยพลวัต เพื่อให้สามารถรับผลประโยชน์และโอกาสในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4, ส่งเสริมความร่วมมือและการเชื่อมโยง และนำมาซึ่งความยั่งยืนในทุกมิติ
"ประชาชนจะได้รับประโยชน์จากการส่งเสริม 'การเชื่อมต่อกลยุทธ์การเชื่อมโยง' ซึ่งจะสนับสนุนการทำงานร่วมกันระหว่างกลยุทธ์การเชื่อมโยงระดับภูมิภาคที่หลากหลาย และ MPAC 2568 บนพื้นฐานของการเป็นศูนย์กลางของอาเซียน" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่า ในเรื่องนี้ อาเซียนได้ประกาศโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญ 19 โครงการ ซึ่งถือว่ามีศักยภาพที่จะดึงดูดการลงทุนร่วมกันจากภาครัฐและเอกชน
นอกจากนี้ อาเซียนยังให้ความสำคัญกับความร่วมมือในประเด็นทางสังคมและวัฒนธรรม รวมถึงการต่อสู้กับขยะทะเล, การรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งการส่งเสริมสิทธิเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการศึกษาสำหรับเด็กและเยาวชน โดยพล.อ.ประยุทธ์ได้ระบุถึง 3C ซึ่งได้แก่ ความต่อเนื่อง (Continuity) , ความร่วมมือ (Complementarity) และ ความสร้างสรรค์ (Creativity) ว่ามีความจำเป็นต่อการรับประกันความยั่งยืนในอาเซียน
การส่งเสริมระบบพหุภาคีท่ามกลางอุปสรรคต่างๆ
การประชุมสุดยอดในปีนี้จัดขึ้นในช่วงเวลาที่อาเซียนและประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน รวมถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ, การดำเนินการเพียงฝ่ายเดียวและการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้นในเวลานี้ และอื่นๆ
แถลงการณ์หลังการประชุมระบุว่า ในฐานะที่เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก อาเซียนให้ความสำคัญกับความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมระบบการค้าพหุภาคีที่โปร่งใส, เปิดกว้างครอบคลุม และระบบการค้าพหุภาคีที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์
สมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจาจำนวนมากได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการส่งเสริมการค้าเสรี และพหุภาคี รวมถึงส่งเสริมการรวมกลุ่มในระดับภูมิภาค
ส่วนแถลงการณ์ของประธานการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีนระบุว่า ทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันอีกครั้งถึง "การสนับสนุนที่เข้มแข็งสำหรับระบบพหุภาคีและภูมิภาคนิยม และเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในระดับสากลตามกฎระเบียบและตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ, ผลประโยชน์ร่วมกัน และการเคารพซึ่งกันและกัน"
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ความคืบหน้าในการเจรจา RCEP ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นด้านการค้าเสรีพหุภาคีของประเทศต่างๆ
"แนวทางการค้าแบบพหุภาคีได้เข้ามาแทนที่ระบบการดำเนินการเพียงฝ่ายเดียวและการกีดกันทางการค้าที่ถือเป็นศัตรูและแม้กระทั่งโรคมะเร็งทางเศรษฐกิจของการพัฒนาทั่วโลก" นายแมทธิวส์แห่งมหาวิทยาลัยนานาชาติ BELTEI กล่าว
ทั้งนี้ กลุ่มอาเซียนก่อตั้งขึ้นในปี 2510 ซึ่งประกอบด้วย บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และ เวียดนาม
บทวิเคราะห์โดย Dan Ran และ Lin Hao
สำนักข่าวซินหัวรายงาน