ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐและจีนใกล้จะบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรก ขณะที่จีนต้องการที่จะทำข้อตกลงเป็นอย่างมาก
ปธน.ทรัมป์ยังกล่าวย้ำว่า เขาจะยอมรับข้อตกลงที่ดีสำหรับสหรัฐและแรงงานสหรัฐเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ในการกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม Economic Club of New York ในวันนี้ ปธน.ทรัมป์ไม่ได้กล่าวถึงการที่สหรัฐจะยกเลิกการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน หรือการที่เขาจะพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนเพื่อลงนามในข้อตกลงการค้า และไม่ได้กล่าวว่าสหรัฐจะชะลอการจัดเก็บภาษีต่อรถยนต์นำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU)
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังได้กล่าวโจมตีจีนว่าเป็นประเทศที่เอาเปรียบสหรัฐ
"นับตั้งแต่ที่จีนเข้าสู่องค์การการค้าโลกในปี 2544 ไม่มีชาติใดเอาเปรียบสหรัฐไปมากกว่าจีน ผมจะไม่ใช้คำว่า 'โกง' แต่ไม่มีชาติไหนโกงได้ดีกว่าจีน ผมขอบอก" ปธน.ทรัมป์กล่าว
ขณะเดียวกัน ปธน.ทรัมป์ยังได้ตำหนิสหภาพยุโรปที่ได้ทำการค้าที่ไม่เป็นธรรมกับสหรัฐ
"การที่สหภาพยุโรปตั้งกำแพงภาษีต่อเราเป็นเรื่องที่แย่มาก และในหลายกรณียุโรปได้ดำเนินการที่แย่กว่าจีน" ปธน.ทรัมป์กล่าว
ในการกล่าวสุนทรพจน์ในวันนี้ ปธน.ทรัมป์ยังได้กล่าวโจมตีธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยระบุว่า เฟดทำให้สหรัฐเสียเปรียบต่อประเทศอื่น และเรียกร้องให้เฟดใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ
"จงจำไว้ว่าเรากำลังแข่งขันกับประเทศที่ลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเปิดเผย จนทำให้ลูกหนี้ได้รับเงินคืนเมื่อพวกเขาทำการชำระหนี้ สิ่งนี้เรียกว่าอัตราดอกเบี้ยติดลบ มีใครเคยได้ยินเรื่องนี้บ้าง ผมขอเงินเหล่านี้บ้าง แต่เฟดของเราไม่ให้เราทำเช่นนั้น" ปธน.ทรัมป์กล่าว
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังได้วิพากษ์วิจารณ์เฟด จากการที่เฟดลังเลที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้เฟดเป็นปัจจัยถ่วงการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นวอลล์สตรีท
ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า นับตั้งแต่ที่เขาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ดัชนี S&P 500 ได้พุ่งขึ้นมากกว่า 45% ดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นมากกว่า 50% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ดีดตัวขึ้น 60%
อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า ตลาดหุ้นสหรัฐน่าจะปรับตัวขึ้นมากกว่านี้ หากมิใช่เป็นเพราะเฟดมีความลังเลในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
"ถ้าเรามีเฟดที่ทำงานกับเรา คุณก็สามารถคาดได้ว่าดัชนีทั้ง 3 จะสามารถพุ่งขึ้นอีก 25% ผมขอรับรอง" ปธน.ทรัมป์กล่าว