ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กเปิดเผยผลการศึกษาครั้งใหม่ที่ระบุว่า บริษัทของจีนไม่ได้ปรับลดราคาสินค้าลงเพื่อชดเชยกับการที่สหรัฐปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนแต่อย่างใด ขณะที่บรรดาบริษัทและผู้บริโภคของสหรัฐกลับเป็นฝ่ายที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
ผลการศึกษาระบุว่า สหรัฐมีรายได้จากการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นราว 4 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3/2562 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2561 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน
ราคานำเข้าสินค้าจีนดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากการที่สหรัฐปรับเพิ่มภาษีนำเข้า ซึ่งบ่งชี้ว่า บรรดาบริษัทของจีนไม่ได้ปรับลดราคาสินค้าลงเพื่อที่จะรับมือกับการที่สหรัฐปรับขึ้นภาษีนำเข้าแต่อย่างใด
ราคาสินค้าจากจีนลดลงเพียง 2% ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ระหว่างเดือนมิ.ย. 2561-เดือนก.ย. 2562 โดยเฟดตั้งข้อสังเกตว่า การปรับตัวลงดังกล่าวลดลงเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนที่จำเป็นสำหรับชดเชยกับการปรับขึ้นภาษีนำเข้า
นอกจากนี้ ราคาสินค้าที่ซื้อจากเม็กซิโก และประเทศอุตสาหกรรมใหม่อื่นๆ อาทิ เกาหลีใต้และสิงคโปร์ ก็ได้ปรับลดลงในระดับเดียวกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าการปรับตัวลงนี้ เป็นผลของภาวะตลาดโดยรวม มากกว่าเป็นผลจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้า
ผลการศึกษาของเฟดสรุปว่า ราคานำเข้าสินค้าจากจีนที่ยังคงมีเสถียรภาพนั้น บ่งชี้ว่า บรรดาบริษัทและผู้บริโภคของสหรัฐเป็นฝ่ายที่ต้องจ่ายภาษีนำเข้าเสียเอง
ทั้งนี้ ใครจะเป็นผู้จ่ายภาษีนำเข้านั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า จะมีการแยกแยะอย่างไรระหว่างผลกำไรที่ลดลงสำหรับผู้ค้าส่ง, ผู้ค้าปลีก และผู้ผลิต กับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้บริโภค ขณะที่การประเมินการแยกแยะดังกล่าวนั้น เป็นเรื่องที่ยากลำบาก
สำนักงานสำมะโนประชากรสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า ยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐลดลงเหลือ 6.65 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนต.ค. เนื่องจากการนำเข้าร่วงลง
บรรดานักวิเคราะห์ระบุว่า การนำเข้าที่ลดลงอย่างมากในเดือนต.ค.นั้น อาจสะท้อนถึงผลกระทบที่เกิดจากการที่สหรัฐเก็บภาษีนำเข้าครั้งใหม่จากสินค้าจีน
นายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟดสาขาดัลลัสเปิดเผยในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า เขาคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐจะอ่อนแอในไตรมาส 4/2562 เนื่องจากภาคธุรกิจปรับลดสต็อกสินค้า อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนด้านการค้า