World Today: สรุปประเด็นน่าติดตามประจำวันที่ 4 ธันวาคม 2562

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday December 4, 2019 09:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนมีแนวโน้มยืดเยื้อ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ส่งสัญญาณเมื่อวานนี้ว่า การบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจล่าช้าออกไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพ.ย.ปีหน้า

ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่กรุงลอนดอนว่า อาจจะเป็นการดีกว่าที่จะรอจนกระทั่งหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีหน้าสำหรับการบรรลุข้อตกลงการค้ากับจีน

-- นายวิลเบอร์ รอสส์ รมว.พาณิชย์สหรัฐ ระบุว่า การที่สหรัฐใช้วิธีรอเวลาการทำข้อตกลงการค้ากับจีนหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพ.ย.ปีหน้า จะทำให้จีนขาดอำนาจต่อรองกับสหรัฐ

"สิ่งนี้จะทำให้จีนขาดสิ่งที่พวกเขาคิดว่าจะทำให้มีอำนาจต่อรองมากขึ้น" นายรอสส์กล่าว

นายรอสส์แสดงความเห็นดังกล่าว หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ส่งสัญญาณว่า การบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจล่าช้าออกไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีหน้า

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลง 280.23 จุด หรือ 1.01% เมื่อคืนนี้ ทำสถิติปิดร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 3 หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ส่งสัญญาณว่า การบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจล่าช้าออกไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพ.ย.ปีหน้า ซึ่งการส่งสัญญาณดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่า การเจรจาการค้าอาจยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลก

-- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวแสดงความคิดเห็นถึงการที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทดิ่งลงเมื่อคืนนี้ว่า ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร เมื่อเทียบกับประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่สหรัฐจะได้รับจากการบรรลุข้อตกลงการค้าที่เหมาะสมกับจีน ขณะที่ตลาดหุ้นได้ดีดตัวขึ้นอย่างมาก นับตั้งแต่ที่เขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

"การปรับตัวของตลาดหุ้นในวันนี้ถือว่าจิ๊บจ๊อย เมื่อเทียบกับที่ตลาดเคยพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงที่ผ่านมา"

"ดัชนีดาวโจนส์เคยอยู่แถว 16,000 หรือ 15,000 จุด และตอนนี้กำลังใกล้แตะ 30,000 จุด โดยดาวโจนส์จะแตะ 30,000 จุดอย่างแน่นอน" ปธน.ทรัมป์กล่าว

นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังระบุว่า เขาจะไม่ลงนามในข้อตกลงการค้าที่ทำให้สหรัฐเสียเปรียบ

-- สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติด้วยคะแนนเสียง 407 ต่อ 1 ให้ผ่านร่างกฎหมายสนับสนุนชาวอุยกูร์ในประเทศจีน โดยร่างกฎหมายจะครอบคลุมถึงการคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนต้องรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน และนับเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ที่สมาชิกทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครตต่างก็ออกเสียงสนับสนุนร่างกฎหมายอย่างพร้อมเพรียงกัน แม้ทั้งสองพรรคมีความขัดแย้งกันเกี่ยวกับประเด็นการถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่งก็ตาม

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของสหรัฐเกิดขึ้น แม้ว่าหนังสือพิมพ์โกลบอลไทม์สของรัฐบาลจีนได้ออกรายงานเตือนก่อนหน้านี้ว่า รัฐบาลจีนจะเปิดเผยรายชื่อ "หน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ" ที่อาจนำไปสู่การคว่ำบาตรบริษัทสหรัฐได้

โกลบอลไทม์สได้ทวีตข้อความบนทวิตเตอร์ว่า รัฐบาลจีนกำลังเร่งจัดทำรายชื่อดังกล่าวเพื่อตอบโต้ร่างกฎหมายสิทธิมนุษยชนในซินเจียงที่ผลักดันโดยนายมาร์โค รูบิโอ วุฒิสมาชิกของสหรัฐ ที่ต้องการให้มีมาตรการลงโทษเจ้าหน้าที่จีนที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษชนของชาวอุยกูร์ในมณฑลซินเจียง

-- ทางการจีนได้ออกมาเคลื่อนไหวในวันนี้ หลังจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติผ่านร่างกฎหมายคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่จีนที่มีส่วนรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์

กระทรวงการต่างประเทศจีนได้เรียกร้องให้สหรัฐระงับการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว พร้อมกับยืนยันว่า จีนจะใช้มาตรการตอบโต้ หากรัฐบาลสหรัฐผลักดันให้มีการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ อย่างไรก็ดี กระทรวงการต่างประเทศจีนไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม

-- มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ ประกาศปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือภาคธนาคารของสหราชอาณาจักรสู่ระดับ "เชิงลบ" จาก "มีเสถียรภาพ" ขณะที่เตือนว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรจะยังคงอ่อนแอ โดยได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของการแยกตัวของสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ในช่วง 2 ปีข้างหน้า

"ภาวะการดำเนินงานที่เลวร้ายลงจะกระทบคุณภาพสินทรัพย์ และความสามารถในการทำกำไรของธนาคาร ขณะที่อัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ และการแข่งขันกันที่เพิ่มขึ้นในการปล่อยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยจะลดมาร์จิ้นกำไรของธนาคารส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักร" รายงานของมูดี้ส์ระบุ

มูดี้ส์ยังระบุว่า เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรกำลังอ่อนแอลง ทำให้มีความอ่อนไหวต่อภาวะตื่นตระหนกในตลาด ขณะที่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับ Brexit ได้ลดแนวโน้มการขยายตัวของประเทศ

ทั้งนี้ มูดี้ส์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรจะชะลอตัวสู่ระดับ 1.2% ในปีนี้ และแตะ 1% ในปี 2563 และ 2564 ขณะที่กระบวนการ Brexit ส่งผลกระทบต่อปริมาณการค้าและการลงทุน

-- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐอาจใช้กำลังทหารโจมตีเกาหลีเหนือ หากมีความจำเป็น

"ขณะนี้เรามีกำลังทหารที่ทรงอำนาจมากที่สุดเท่าที่เราเคยมี และเราเป็นชาติที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก แต่ผมหวังว่าเราจะไม่ต้องใช้กำลังทหาร แต่ถ้าจำเป็น เราก็จะใช้มัน" ปธน.ทรัมป์กล่าว

อย่างไรก็ดี ปธน.ทรัมป์ย้ำว่า เขายังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่า สหรัฐจะยังไม่ใช้ทางเลือกด้านการทหารต่อเกาหลีเหนือ และยังคงเปิดช่องทางสำหรับการเจรจา

-- นายบรูโน เลอ แมร์ รัฐมนตรีคลังฝรั่งเศส กล่าวว่า การที่สหรัฐขู่เรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้านำเข้าจากฝรั่งเศสถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และสหภาพยุโรป (EU) พร้อมที่จะทำการตอบโต้สหรัฐ

"ในกรณีที่เกี่ยวกับการคว่ำบาตรรอบใหม่จากสหรัฐนั้น สหภาพยุโรปพร้อมที่จะตอบโต้กลับ" นายเลอ แมร์กล่าว

ทั้งนี้ คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาเพิ่มการเรียกเก็บภาษีสู่ระดับ 100% ต่อสินค้านำเข้าจากฝรั่งเศสวงเงิน 2.4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้ฝรั่งเศสที่เตรียมเก็บภาษีดิจิทัลจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐ อาทิ อเมซอน กูเกิล แอปเปิล และเฟซบุ๊ก

-- ผลการสำรวจของ Kantar ระบุว่า กระแสความนิยมต่อพรรคอนุรักษ์นิยมของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ยังคงนำหน้าพรรคแรงงาน ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปของอังกฤษจะมีขึ้นในวันที่ 12 ธ.ค.

ทั้งนี้ กระแสความนิยมของพรรคอนุรักษ์นิยมเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 44% ขณะที่พรรคแรงงานทรงตัวที่ระดับ 32% โดยการสำรวจดังกล่าวจัดทำขึ้นในวันที่ 28 พ.ย.-2 ธ.ค. จากการสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่าง 1,096 ราย

-- IBGE ซึ่งเป็นสำนักงานสถิติแห่งชาติบราซิล เปิดเผยว่า เศรษฐกิจบราซิลมีการขยายตัว 0.6% ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบรายไตรมาส ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีที่แล้ว

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าเศรษฐกิจบราซิลจะมีการขยายตัว 0.4% ในไตรมาส 3

เมื่อเทียบรายปี เศรษฐกิจบราซิลมีการขยายตัว 1.2% ในไตรมาส 3 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.0%

-- สำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลียรายงานในวันนี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2562 ขยายตัว 1.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

แต่หากเทียบเป็นรายไตรมาส GDP ไตรมาส 3 ของออสเตรเลีย ขยายตัวเพียง 0.4% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 0.5%

-- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของจีน ซึ่งมาร์กิตจัดทำร่วมกับไฉซิน อยู่ที่ระดับ 53.5 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นการขยายตัวรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา โดยพุ่งขึ้นจากระดับ 51.1 ในเดือนต.ค.

ทั้งนี้ ดัชนี PMI ที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่า ภาคบริการของจีนยังคงมีการขยายตัว ขณะที่ดัชนีที่เคลื่อนไหวต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงภาวะหดตัวในภาคบริการ

-- จับตาข้อมูลเศรษฐกิสำคัญที่มีกำหนดการเปิดเผยวันนี้ โดยมาร์กิตเตรียมเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนพ.ย.ของฝรั่งเศส, เยอรมนี และอียู รวมถึงดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนพ.ย. ของอังกฤษ ขณะที่สหรัฐเตรียมเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ย.จาก ADP ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนพ.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนพ.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA)

ส่วนในวันพรุ่งนี้ เกาหลีใต้เตรียมเปิดเผยดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนต.ค. ออสเตรเลียเตรียมเปิดเผยดุลการค้าและยอดค้าปลีกเดือนต.ค. ด้านเยอรมนีจะเปิดเผยยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนต.ค. อียูจะเปิดเผยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2562 (ประมาณการครั้งที่ 3) และยอดค้าปลีกเดือนต.ค. ขณะที่สหรัฐเตรียมเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดุลการค้าเดือนต.ค. และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนเดือนต.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ