รัฐบาลอังกฤษเปิดคูหาการเลือกตั้งแล้วในวันนี้ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยหากพรรคอนุรักษ์นิยมของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษเป็นฝ่ายชนะ ก็จะพาอังกฤษออกจากสหภาพยุโรปเช่นเดิม แต่หากผลการเลือกตั้งพลิกโผ ก็อาจทำให้อังกฤษต้องลงประชามติอีกครั้ง
ด้านผลการสำรวจก่อนการเลือกตั้งของ Britain Elects ระบุว่า กระแสความนิยมต่อพรรคอนุรักษ์นิยมของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ยังคงนำหน้าพรรคแรงงาน
-- สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กำลังเจรจากับธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดของอังกฤษ เพื่อเสนอซื้อหุ้นเกือบ 90% ของธนาคารพีที แบงก์ เพอร์มาตา (PT Bank Permata) ของอินโดนีเซีย ซึ่งสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดถือหุ้นอยู่ โดยคิดเป็นมูลค่าตลาดประมาณ 2.3 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย ไฟแนนเชียล กรุ๊ป อิงค์ของญี่ปุ่นก็ยื่นเสนอซื้อหุ้นของธนาคารพีที แบงก์ เพอร์มาตา ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ แหล่งข่าวคาดว่าอาจจะมีการประกาศชื่อผู้ชนะในการเสนอซื้อหุ้นดังกล่าวในสัปดาห์หน้า แม้ว่าจะยังคงมีการเจรจาต่อรองกันอยู่ก็ตาม
-- ตลาดการเงินจับตานางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) คนใหม่ ซึ่งจะเข้ารวมการประชุมนโยบายการเงินครั้งแรกในวันนี้ หลังจากที่เข้ารับตำแหน่งต่อจากนายมาริโอ ดรากี
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า แม้คาดว่า ECB จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ย แต่การประชุมครั้งแรกของนางลาการ์ดก็ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากตลาดรอดูว่า นางลาการ์ดจะมีมุมมองด้านนโยบายที่แตกต่างจากนายดรากีหรือไม่ หลังจากที่ประธาน ECB คนก่อนไม่เคยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเลยแม้แต่ครั้งเดียว
-- กระทรวงทรัพยากรมนุษย์ของสิงคโปร์เปิดเผยว่า อัตราว่างงานในไตรมาส 3/2562 ดีดตัวขึ้นแตะระดับ 2.3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี จากระดับ 2.2% ในไตรมาสก่อนหน้า ท่ามกลางสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ก่อนที่การเลือกตั้งทั่วไปในสิงคโปร์จะมีขึ้นภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
รายงานของกระทรวงระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้อัตราว่างงานเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3 นั้น มาจากการที่นายจ้างระมัดระวังการจ้างงาน ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ พร้อมระบุถึงความจำเป็นในการพยายามช่วยเหลือผู้ที่ว่างงานและกำลังหางาน ให้สามารถได้งานที่เหมาะสมกับทักษะของตนเอง
-- ดัชนี CEO Economic Outlook Index ของบิสิเนส ราวด์เทเบิล (Business Roundtable) ซึ่งเป็นดัชนีที่บ่งชี้ถึงการวางแผนของซีอีโอในช่วง 6 เดือนข้างหน้าในด้านการขาย, การใช้จ่ายทุน และการจ้างงานในสหรัฐ ลดลง 2.5 จุด สู่ระดับ 76.7 ในไตรมาส 4/2562 ซึ่งยังคงต่ำกว่าระดับเฉลี่ยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของดัชนีที่ระดับ 82.7
การลดลงดังกล่าวแม้จะเป็นการปรับตัวลงเล็กน้อย แต่ก็ลดลงเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน และบ่งชี้ว่า บรรดาซีอีโอวางแผนที่จะลดการจ้างงานและการลงทุนในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ขณะที่บรรดาซีอีโอยังคงระมัดระวัง เนื่องจากเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า และการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง รวมถึงภาคการผลิตของสหรัฐที่กำลังหดตัวลงในปัจจุบัน
-- รัฐบาลออสเตรเลียเปิดเผยว่า บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ อาทิ เฟซบุ๊ก และ กูเกิล จะต้องปฎิบัติตามกฎระเบียบใหม่ ภายในเดือนพ.ย. 2563 เพื่อสร้างความมั่นใจว่า บริษัทเหล่านั้นจะไม่ใช้อำนาจทางการตลาดในทางที่ผิดและบ่อนทำลายการแข่งขัน มิฉะนั้น รัฐบาลจะดำเนินมาตรการควบคุมครั้งใหม่
นายสกอตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ระบุว่า คณะกรรมาธิการด้านการบริโภคและการแข่งขันของออสเตรเลีย (ACCC) จะสร้างหลักปฏิบัติเพื่อจัดการกับข้อร้องเรียนที่ว่า บริษัทเทคโนโลยีดังกล่าวได้เข้ายึดธุรกิจด้านการโฆษณา ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของผู้ประกอบการสื่อของออสเตรเลีย โดยแนวทางดังกล่าวจะเข้ามาสร้างความมั่นใจว่า อำนาจทางการตลาดจะไม่ถูกใช้ เพื่อลดทอนการแข่งขันในตลาดบริการโฆษณาและสื่อ
-- สภาผู้แทนราษฏรสหรัฐได้อนุมัติกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ (National Defense Authorization Act หรือ NDAA) ประจำปี 2563 ซึ่งจะสั่งให้คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้มาตรการคว่ำบาตรโครงการท่อส่งก๊าซของรัสเซียที่สร้างขึ้นใต้ทะเลบอลติก
NDAA จะปกป้องความมั่นคงด้านพลังงานของยุโรปด้วยการกำหนดมาตรการคว่ำบาตรกับโครงการท่อส่งก๊าซ Nord Stream 2 และ TurkStream ของรัสเซีย โดยสภาผู้แทนราษฏรสหรัฐยืนยันว่า โครงการ Nord Stream 2 จะช่วยส่งเสริมอำนาจด้านภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซียในยุโรป
-- รายงานของ KPMG ระบุว่า ตลาดหุ้นฮ่องกงจะยังคงรั้งอันดับ 1 ตลาดไอพีโอของโลกในปีนี้ ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำสถานะของฮ่องกงในการเป็นศูนย์กลางด้านการระดมทุนชั้นนำของโลก โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นฮ่องกงยังคงรักษาอันดับไว้ได้นั้น มาจากในช่วงครึ่งปีหลังซึ่งมีข้อตกลงขนาดใหญ่ 2 รายการ ได้แก่ การนำหุ้นเข้าจดทะเบียนของอาลีบาบา และบัดไวเซอร์ บริวอิง คัมพานี
ทั้งนี้ จะนับเป็นปีที่สองติดต่อกันที่ตลาดหุ้นฮ่องกงรั้งอันดับตลาดไอพีโออันดับ 1 ของโลก ส่วนตลาด Nasdaq และตลาดหุ้นนิวยอร์ก คาดว่าจะรั้งอันดับ 2 และ 3 ตามลำดับในปีนี้