นักวิเคราะห์และบรรดาผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า การที่บริษัทโบอิ้ง โค ตัดสินใจระงับการผลิตเครื่องบินรุ่น 737 MAX ซึ่งเป็นเครื่องบินรุ่นขายดีที่สุดของโบอิ้งนั้น อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการจ้างงานของสหรัฐ
ทั้งนี้ โบอิ้งมีสัดส่วนในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐที่ค่อนข้างสูง ในฐานะผู้ส่งออกรายใหญ่ของประเทศ นอกจากนี้ หุ้นของโบอิ้ง ยังเป็นหนึ่งใน 30 หลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ซึ่งหมายความว่าความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นกับราคาหุ้นโบอิ้งจะมีผลต่อการซื้อขายโดยรวมในตลาดด้วย
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์แคปิตอล อิโคโนมิคส์ ในรัฐนิวยอร์ก คาดการณ์ว่า การที่โบอิ้งตัดสินใจระงับการผลิตเครื่องบินรุ่น 737 MAX นั้น จะทำให้การเพิ่มขึ้นของสต็อกสินค้าสิ้นสุดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในไตรมาสแรกปีหน้า
ขณะที่นายเอริค โรเซนเกรน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาบอสตัน ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาของโบอิ้ง โดยกล่าวว่า โบอิ้งจ้างพนักงานเป็นจำนวนมาก และหนึ่งในสินค้าส่งออกที่สำคัญที่สุดของสหรัฐก็คือเครื่องบินโบอิ้ง ดังนั้นการที่โบอิ้งเผชิญปัญหาเกี่ยวกับการนำเครื่องบินรุ่นดังกล่าวกลับมาให้บริการอีกครั้งนั้น จึงไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐ
โบอิ้ง ออกแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ทางบริษัทจะระงับการผลิตเครื่องบินรุ่น 737 MAX เป็นการชั่วคราว โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนม.ค. 2563 อันเนื่องมาจากความกังวลด้านความปลอดภัย หลังจากเกิดเหตุการณ์เครื่องบินรุ่น 737 MAX ของโบอิ้งตกถึง 2 ครั้ง และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
แถลงการณ์ของโบอิ้งระบุว่า ขณะนี้โบอิ้งมีเครื่องบินรุ่น 737 MAX ค้างสต็อกอยู่จำนวน 400 ลำ เนื่องจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านการบินได้สั่งระงับการขึ้นบินของเครื่องบินรุ่นดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ โบอิ้งจึงได้ตัดสินใจที่จะนำเครื่องบินที่เหลืออยู่ในสต็อกออกมาทยอยส่งมอบให้กับลูกค้า และจะระงับการผลิตเครื่องบิน 737 MAX เป็นการชั่วคราว โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป
นอกจากนี้ โบอิ้งระบุว่า การตัดสินใจระงับการผลิตเครื่องบิน 737 MAX นั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนของระยะเวลาและเงื่อนไขในการนำเครื่องรุ่นดังกล่าวกลับมาให้บริการอีกครั้ง