แบล็กบ็อกซ์ รีเสิร์ช และทอลูนา ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ ไอทีดับบลิวพี ได้สำรวจความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 ด้วยการสอบถามกลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจ 4,111 คนในประเทศและดินแดน 9 แห่งในเอเชีระหว่างวันที่ 14-17 กุมภาพันธ์ 2563 เพื่อสอบถามความเห็นเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 และความพึงพอใจในมาตรการรับมือของรัฐบาลแต่ละประเทศ
ผู้ตอบแบบสำรวจ 84% ต้องการให้สั่งห้ามเที่ยวบินจากจีน ขณะเดียวกันผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ระบุว่า นับตั้งแต่ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้มีการล้างมือและใส่หน้ากากอนามัยมากขึ้น รวมถึงหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่น และเข้าพบแพทย์มากกว่าเดิม นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสำรวจ 23% ระบุว่าปัจจุบันใช้วิธีทำงานจากที่บ้าน โดยประชาชนในประเทศที่ทำงานจากที่บ้านมากที่สุด ได้แก่ ชาวเวียดนามและฮ่องกงที่ 40% และ 39% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ประชาชนในแต่ละประเทศมองสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 แตกต่างกันออกไป โดยผู้ตอบแบบสำรวจกว่าครึ่งในญี่ปุ่น (85%) ฮ่องกง (72%) สิงคโปร์ (64%) และไทย (56%) เชื่อว่าจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศหรือดินแดนตัวเองจะเพิ่มขึ้นอีกในเดือนหน้า ในทางกลับกัน มีผู้ตอบแบบสำรวจเพียงส่วนน้อยในเกาหลีใต้ (26%) อินโดนีเซีย (33%) และฟิลิปปินส์ (35%) ที่เชื่อว่า จะมีผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มขึ้น ขณะที่เวียดนามและมาเลเซียนั้นมีความเห็นในเรื่องเดียวกันนี้แบ่งออกเป็นสองฝ่ายเกือบจะเท่า ๆ กัน ที่ 49% และ 45% ตามลำดับ
ในทางกลับกัน ประชาชนผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่กังวลว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศและระหว่างประเทศ โดยมีชาวมาเลเซียผู้ตอบแบบสำรวจถึง 77% และ 83% ที่กังวลว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศและระหว่างประเทศตามลำดับ ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจ ขณะที่ประเทศที่แสดงความกังวลน้อยที่สุดคือ ญี่ปุ่น แต่ก็มีผู้ตอบแบบสำรวจถึง 57% และ 58% ที่กังวลว่การแพร่ระบาดจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจในประเทศและระหว่างประเทศ
ในส่วนของความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อการรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นั้น พบว่า มีชาวเวียดนามมากถึง 81% ที่พึงพอใจกับการรับมือไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาลตนเอง ในทางกลับกัน มีชาวฮ่องกงเพียง 23% เท่านั้นที่พอใจกับมาตรการของรัฐบาล และมีถึง 73% ที่ระบุว่ามาตรการในการรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาลฮ่องกงไม่เพียงพอหรือไม่ได้ทำอะไรเลย