คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) แถลงวันนี้ว่า ณ วันพุธที่ 19 ก.พ. มีผู้เสียชีวิตจากโรคปอดอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในจีน เพิ่มขึ้นอีก 114 ราย ส่งผลให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตทั่วประเทศจีน เพิ่มขึ้นเป็น 2,118 ราย ด้านจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วประเทศ เพิ่มขึ้นอีก 394 ราย ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อทั่วประเทศ เพิ่มขึ้นเป็น 74,576 ราย ส่วนผู้ป่วยติดเชื้อที่ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลหลังจากมีอาการดีขึ้นแล้วนั้น อยู่ที่ 16,155 ราย
-- หน่วยงานด้านสุขภาพของจีนได้ออกมายอมรับว่า ประชาชนอาจติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) จากการสูดหายใจเอาอนุภาคขนาดเล็กที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อนซึ่งลอยอยู่ในอากาศเข้าไป (aerosol infection)
รายงานฉบับดังกล่าวเป็นคำแนะนำฉบับที่ 6 สำหรับการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในจีน โดยระบุว่า สาเหตุหลักของการติดเชื้อคือ "ละอองฝอยจากระบบทางเดินหายใจ" เช่น น้ำมูกหรือน้ำลายจากการไอและจาม รวมถึงการติดเชื้อที่เกิดจาก "การสัมผัสอย่างใกล้ชิด" หลังจากที่รายงานก่อนหน้านี้ระบุว่า เป็นไปได้ที่จะมีการติดเชื้อแบบ aerosol infection แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างชัดเจน
-- นายแพทย์ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า ทีมผู้เชี่ยวชาญจากนานาชาติของ WHO กำลังทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญชาวจีน เพื่อค้นหาคำตอบสำหรับสิ่งที่ยังไม่ทราบเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 พร้อมเสริมว่า ทีมดังกล่าวก่อตั้งขึ้นภายใต้เครือข่ายเตือนภัยและรับมือโรคระบาดทั่วโลก (Global Outbreak Alert & Response Network หรือ GOARN)
นอกจากนี้ นายแพทย์กีบรีเยซุสระบุว่า เขาเพิ่งรายงานสรุปประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสโควิด-19 ให้กับรัฐสมาชิกของ WHO รับทราบ ซึ่งรวมถึงประเด็นที่ว่า ประชาคมโลกจำเป็นต้องเพิ่มการมีส่วนร่วมในการเตรียมความพร้อมของประเทศต่างๆ, จำเป็นต้องสร้างความสมดุลระหว่างการสนับสนุนด้านเงินทุนสำหรับการจัดการด้านสาธารณสุขกับการวิจัยและพัฒนาวัคซีน และต้องพยายามจัดหาอุปกรณ์ให้กับประเทศต่างๆ
-- ญี่ปุ่นเผยผู้โดยสารบนเรือสำราญไดมอนด์ พรินเซส จำนวน 2 รายเสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) โดยผู้โดยสารทั้ง 2 รายเป็นผู้หญิง 1 ราย ผู้ชาย 1 ราย และอายุมากกว่า 80 ปี ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตจากปอดอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่น เพิ่มขึ้นเป็น 3 ราย
-- รัฐบาลเกาหลีใต้รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธฺ์ใหม่ (โควิด-19) รายแรกของประเทศ และยืนยันในช่วงบ่ายนี้ว่าพบผู้ติดเชื้อไวรัสดังกล่าวเพิ่มอีก 22 ราย ส่งผลให้ขณะนี้ยอดรวมผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 104 ราย
การประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของเกาหลีใต้แถลงยืนยันว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เพิ่มอีก 31 ราย เท่ากับว่าวันนี้เกาหลีใต้พบผู้ติดเชื้อไวรัสดังกล่าว 53 รายในวันเดียว โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองแดกู ห่างจากกรุงโซลประมาณ 300 กิโลเมตร ขณะที่นายกเทศมนตรีเมืองแดกูได้เตือนให้ประชาชนงดออกจากบ้านแล้ว
-- สื่อต่างประเทศรายงานว่า ธนาคารพาณิชย์ของจีนกำลังเร่งออกบัตรเงินฝากที่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ (negotiable certificate of deposits หรือ NCDs) ผ่านทางตลาดอินเตอร์แบงก์ เพื่อช่วยระดมทุนสำหรับบริษัทต่างๆ ที่กำลังต่อสู้กับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19)
ทั้งนี้ บัตรเงินฝากดังกล่าวหรือ virus NCDs จะกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าบัตรเงินฝากทั่วไป ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการระดมทุนสำหรับบริษัทเหล่านั้น
-- สายการบินแควนตัสของออสเตรเลีย ออกประกาศเตือนถึงผลกระทบทางการเงินขั้นรุนแรง เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้ความต้องการเดินทางในทวีปเอเชียหดหาย โดยประมาณการว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดอาจสร้างความเสียหายให้กับสายการบินเป็นมูลค่าสูงถึง 150 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (99 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เนื่องจากสายการบินจำเป็นต้องปรับลดเที่ยวบินสู่หลายจุดหมายปลายทางในเอเชียลง 15% จนถึงสิ้นเดือนพ.ค. เป็นอย่างน้อย
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ แควนตัส แอร์เวย์ ได้ประกาศยกเลิกเที่ยวบิน และระงับการจ้างงานในภูมิภาคเอเชีย เพื่อรับมือกับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือโควิด-19 ที่สร้างความวิตก และทำให้จำนวนผู้โดยสารลดลง ขณะที่ผู้บริหารของแควนตัสระบุว่า แผนการดังกล่าวอาจมีการปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มหรือลดเที่ยวบินลงอีก โดยจะพิจารณาจากความต้องการเดินทาง
-- สายการบินแอร์ฟรานซ์-เคแอลเอ็ม เปิดเผยในวันนี้ว่า ผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 290 ล้านยูโร (313.1 ล้านดอลลาร์) ในปี 2562 ซึ่งลดลง 130 ล้านยูโร ส่วนผลการดำเนินงานร่วงลง 19% สู่ระดับ 1.14 พันล้านยูโร โดยได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น และแรงกดดันด้านธุรกิจขนส่งสินค้า ขณะที่รายได้เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.719 หมื่นล้านยูโร
สำหรับแนวโน้มในปีนี้นั้น แอร์ฟรานซ์-เคแอลเอ็มประมาณการว่า ไวรัสโควิด-19 อาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานราว 150-200 ล้านยูโรในเดือนก.พ.-เม.ย. อันเนื่องมาจากการระงับเที่ยวบินเข้าและออกจากประเทศจีน และคาดว่ารายได้จะลดลงในไตรมาสแรกด้วย เพราะวิกฤตโรคระบาดดังกล่าว
-- ฟ็อกซ์คอนน์ บริษัทผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของไต้หวัน เปิดเผยในวันนี้ว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) จะส่งผลให้รายได้ตลอดปีงบประมาณ 2563 ของบริษัทปรับตัวลดลง และทางบริษัทจะดำเนินการอย่างรอบคอบระมัดระวังในการกลับมาดำเนินการผลิตที่โรงงานหลักในจีนอีกครั้ง หลังจากโรงงานได้ถูกปิดก่อนหน้านี้ อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ ฟ็อกซ์คอนน์เป็นผู้ผลิต iPhone ให้กับบริษัทแอปเปิล อิงค์ และผลิตสมาร์ทโฟนให้กับหัวเว่ย รวมถึงแท็บเล็ต Kindle ให้กับอเมซอน นอกจากนี้ ฟ็อกซ์คอนน์ ยังเป็นซัพพลายเออร์ของเอชพี, เดลล์ และบริษัทอิเล็กทรอนิกส์แบรนด์ดังอีกหลายราย
-- สื่อต่างประเทศรายงานว่า การประชุมของเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐเพื่อหารือเกี่ยวกับการควบคุมการส่งออกสินค้าให้กับบริษัทหัวเว่ย และจีน จะยังคงดำเนินต่อไปในวันนี้ แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ทวีตความเห็นคัดค้านการจำกัดที่เข้มงวดมากขึ้นกับการส่งออกสินค้าของสหรัฐไปยังต่างประเทศก็ตาม โดยเจ้าหน้าที่สหรัฐจะหารือกันเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ รวมถึงข้อจำกัดใหม่ในการขายชิปของบริษัทสหรัฐที่ผลิตขึ้นในต่างประเทศให้กับบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ของจีน รวมถึงการขายชิ้นส่วนเครื่องบินให้กับบริษัทผลิตเครื่องบินของจีนด้วย
-- สำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลีย (ABS) รายงานในวันนี้ว่า อัตราว่างงานเดือนม.ค.เพิ่มขึ้นแตะระดับ 5.3% จากระดับ 5.1% ในเดือนธ.ค. โดยอัตราว่างงานที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจออสเตรเลียได้รับผลกระทบจากปัญหาไฟป่าที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงในภูมิภาคที่ต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการเกษตร
ส่วนตัวเลขจ้างงานในเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 13,500 ตำแหน่ง ขณะที่การจ้างงานเต็มเวลาในเดือนม.ค.อยู่ที่ระดับ 46,200 ตำแหน่ง และการจ้างงานพาร์ทไทม์ลดลง 32,700 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ ABS ยังเปิดเผยว่า มีประชาชนจำนวนมากขึ้นที่กำลังมองหางาน โดยอัตราการมีส่วนร่วมด้านแรงงาน (participation rate) ซึ่งเป็นสัดส่วนของผู้มีงานทำหรือผู้ที่กำลังหางานทำนั้น เพิ่มขึ้นแตะระดับ 66.1% ในเดือนม.ค. จากระดับ 66.00% ในเดือนธ.ค.