สำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐ (BEA) รายงานในวันนี้ว่า อัตราการออมส่วนบุคคลของชาวอเมริกันพุ่งแตะระดับ 33% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ที่ทางสำนักงานเริ่มรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในช่วงทศวรรษ 1960
ทั้งนี้ อัตราการออมดังกล่าวเป็นการวัดระดับการออมเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซนต์กับรายได้ที่สามารถใช้จ่ายได้
นอกจากนี้ อัตราการออมที่ระดับ 33% ในเดือนเม.ย. สูงกว่าการออมในช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินทั่วโลก
ระดับอัตราการออมสูงสุดก่อนหน้านี้อยู่ที่ระดับ 17.3% ที่ทำไว้ในเดือนพ.ค.1975 ขณะที่อัตราการออมในเดือนมี.ค.อยู่ที่ระดับ 12.7%
นักวิเคราะห์ระบุว่า การที่อัตราการออมพุ่งเป็นประวัติการณ์ในเดือนเม.ย. มีสาเหตุจากการที่รัฐบาลประกาศมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้ร้านค้าจำนวนมากต้องปิดตัวลง และทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากผู้บริโภคยังคงเก็บออมเงินต่อไป แทนที่จะนำเงินไปลงทุน สิ่งนี้ก็จะเป็นปัจจัยกดดันอัตราดอกเบี้ย และจะกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ