นักลงทุนยังคงติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกอย่างใกล้ชิด ขณะที่รายงานล่าสุดขององค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยรายงานล่าสุดว่า ณ วันที่ 21 มิ.ย. พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกเพิ่มอีก 183,020 ราย ทำสถิติยอดติดเชื้อรายวันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 8,708,008 ราย และพบผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 4,743 ราย ซึ่งทำให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 461,715 ราย
รายงานดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงลงทันทีในช่วงเช้านี้ โดย ณ เวลา เวลา 06.25 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงลง 153 จุด หรือ 0.60% แตะที่ 25,376 จุด
-- ตลาดการเงินจับตาหลายประเทศที่เริ่มเปิดเศรษฐกิจในช่วงนี้ ท่ามกลางความวิตกกังวลที่ว่า หากการเปิดเศรษฐกิจเกิดขึ้นเร็วเกินไปก็อาจทำให้ไวรัสโควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดรอบสองได้
นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เตรียมเปิดเผยมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ครั้งล่าสุดในวันพรุ่งนี้ และจะประกาศว่า รัฐบาลจะผ่อนปรนมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมด้วยหรือไม่
ทางด้านสเปนได้ยกเลิกภาวะฉุกเฉิน พร้อมกับเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากยุโรป และยังอนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษสามารถเดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว
-- นักลงทุนรอดูธนาคารกลางจีน (PBOC) ซึ่งมีกำหนดเปิดเผยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ทั้งประเภท 1 ปีและ 5 ปี ในช่วงเช้าวันนี้ โดยการประกาศระดับอัตราดอกเบี้ย LPR ในทุกๆเดือนนั้น เป็นความตั้งในของธนาคารกลางจีนที่จะปรับปรุงและปฏิรูปกลไกในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR และเป็นความพยายามที่จะปรับลดต้นทุนการกู้ยืมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่แท้จริง
ส่วนเมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น ธนาคารกลางจีนประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปี ไว้ที่ระดับ 3.85% และคงอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปี ไว้ที่ระดับ 4.65% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้
-- ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีนยังคงเป็นประเด็นที่ตลาดการเงินให้ความสนใจเช่นกัน โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในกฎหมายให้อำนาจสหรัฐคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่จีนที่รับผิดชอบที่ปราบปรามชาวมุสลิมในมณฑลซินเจียง ขณะที่ทางการจีนปฏิเสธว่าไม่เคยทำเช่นนั้น พร้อมแสดงความไม่พอใจและขู่ตอบโต้
นายเจฟฟรีย์ แซคส์ นักเศรษฐศาสตร์ผู้ทรงอิทธิพลและศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย แสดงความเห็นว่า สงครามเย็นระหว่างสหรัฐและจีนที่หยั่งรากลึกมากยิ่งขึ้นนั้น จะกลายเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลให้กับโลกยิ่งกว่าไวรัสโควิด-19
-- ราคาทองคำกลับมาร้อนแรงอีกครั้งในช่วงนี้ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดรอบสองของไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ ราคาทองยังได้แรงหนุนหลังจากโกลด์แมน แซคส์ ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำ
ณ เวลา 08.05 น.ตามเวลาไทยในวันนี้ ราคาทองฟิวเจอร์พุ่งขึ้น 11.20 ดอลลาร์ หรือ 0.64% แตะที่ 1,764.20 ดอลลาร์/ออนซ์
โกลด์แมน แซคส์ ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำในระยะ 3 เดือน, 6 เดือน และ 12 เดือน ขึ้นสู่ระดับ 1,800, 1,900 และ 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์ตามลำดับ จากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 1,600, 1,650 และ 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์
นักวิเคราะห์ของโกลด์แมนระบุว่า การปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองครั้งล่าสุดนั้น เป็นผลจากการที่ผู้บริโภคในตลาดเกิดใหม่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยหลังจากได้รับผลกระทบจากความมั่งคั่งที่ลดลง และนักลงทุนในตลาดที่พัฒนาแล้วต้องการลงทุนในทอง เพราะถูกขับเคลื่อนด้วยความวิตกเกี่ยวกับการลดค่าเงิน และดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง
-- จับตาข้อมูลเศรษฐกิจในวันนี้ โดยอียูเตรียมเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนมิ.ย. และสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ค.
ส่วนในวันพรุ่งนี้ มาร์กิตเตรียมเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนมิ.ย. และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนมิ.ย.ของฝรั่งเศส เยอรมนี อียู อังกฤษ และสหรัฐ ขณะที่ทางการสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ค. และดัชนีภาคการผลิตเดือนมิ.ย.จากเฟดริชมอนด์