สำนักงบประมาณแห่งสภาคองเกรสสหรัฐ (CBO) คาดการณ์ว่า หนี้สินของรัฐบาลกลางสหรัฐจะพุ่งขึ้นสูงกว่าขนาดของเศรษฐกิจสหรัฐในปีงบประมาณ 2564 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเป็นผลจากการที่รัฐบาลใช้มาตรการด้านการคลังขนานใหญ่เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
CBO คาดการณ์ว่า หนี้สินของรัฐบาลกลางสหรัฐจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 98% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี 2563 เมื่อเทียบกับระดับ 79% ของปี 2562 และ 35% ของปี 2550 ซึ่งเป็นระดับก่อนที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2551
นอกจากนี้ CBO คาดว่าหนี้สินของรัฐบาลกลางสหรัฐจะทะยานขึ้นเกิน 100% ของ GDP ในปี 2564 และพุ่งขึ้นแตะ 107% ในปี 2566 ซึ่งจะเป็นระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ และคาดว่าภายในปี 2573 ระดับหนี้สินจะอยู่ที่ 109% ของ GDP ทั้งนี้ CBO ได้เปิดเผยรายงานที่ชื่อว่า "An Update to the Budget Outlook: 2020 to 2030" โดยคาดการณ์ว่า ตัวเลขขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐจะอยู่ที่ 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2563 ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าจากตัวเลขขาดดุลงบประมาณที่เคยทำสถิติสูงสุดในปี 2562
"การพุ่งขึ้นของตัวเลขขาดดุลงบประมาณนั้น ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจที่เกิดจากโรคโควิด-19 แพร่ระบาดในปี 2563 และการบังคับใช้มาตรการเพื่อพยุงเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวจากผลกระทบดังกล่าว" รายงานของ CBO ระบุ พร้อมเสริมว่า ยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐจะพุ่งขึ้นถึง 16% ของ GDP ในปี 2563 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2488
ส่วนตัวเลขขาดดุลงบประมาณในปี 2564 นั้น CBO คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 8.6% ของ GDP โดยในการคาดการณ์ของ CBO นั้น ตัวเลขขาดดุลรายปีมีความเกี่ยวข้องกับขนาดของเศรษฐกิจซึ่งคาดว่าจะชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2570 ก่อนที่จะดีดตัวขึ้นอีกครั้งในช่วง 2-3 ปีสุดท้ายของช่วงคาดการณ์ โดยคาดว่าจะแตะที่ระดับ 5.3% ของ GDP ในปี 2573
การใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากสภาคองเกรสได้อนุมัติงบประมาณมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์นับตั้งแต่เดือนมี.ค. เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ประกอบกับรายได้จากการจัดเก็บภาษีที่ร่วงลงอย่างหนัก ซึ่งทำให้ยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางพุ่งขึ้น และทำให้หนี้สินของรัฐบาลกลางพุ่งขึ้นด้วย