กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (WEO) เมื่อวานนี้ โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัวลง 7.1% ในปีนี้ ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ในเดือนมิ.ย.ว่าจะหดตัวลง 7.7% ก่อนที่จะขยายตัว 4.0% ในปีหน้า ขณะเดียวกัน IMF ยังคาดการณ์ว่าไทยมีอัตราการว่างงานต่ำที่สุดในอาเซียน โดยทรงตัวที่ระดับ 1.0% ในปีนี้ และปีหน้า เช่นเดียวกับในปี 2562
ทั้งนี้ IMF ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีหน้าสู่ระดับ 5.2% ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ในเดือนมิ.ย.ว่าจะขยายตัว 5.4%
IMF ระบุว่า การทบทวนปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจโลกในปีนี้ ได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวที่ดีกว่าคาดของเศรษฐกิจจีน รวมทั้งเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วในช่วงไตรมาส 2 ขณะที่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่รวดเร็วขึ้นในไตรมาส 3
อย่างไรก็ดี IMF เตือนว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน และไม่ต่อเนื่อง รวมทั้งต้องใช้ระยะเวลายาวนาน ขณะที่ยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
-- นายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน มีกำหนดเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในวันที่ 14-15 ตุลาคม เพื่อกระชับหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านระหว่างไทยกับจีน ท่ามกลางสถานการณ์ความท้าทายในภูมิภาคและโลก รวมถึงสถานการณ์โรคโควิด-19
สำหรับการเดินทางเยือนไทยในครั้งนี้ นายหวัง อี้ มีกำหนดการเข้าเยี่ยมคารวะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ทำเนียบรัฐบาล และหารือกับนายดอน ที่กระทรวงการต่างประเทศ เกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับจีนในกรอบทวิภาคีและภูมิภาค รวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากสถานการณ์โควิด-19
-- บรรดานักลงทุนในตลาดการเงินจับตานายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ซึ่งจะกล่าวสุนทรพจน์ในระหว่างการเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปีแห่งการก่อตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้น (SEZ) ในวันนี้
นักวิเคราะห์คาดว่า นายสีจะแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับความสำคัญของเขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้น และเขตอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (Greater Bay Area) ในฐานะแรงขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ขณะเดียวกันคาดว่านายสีจะกล่าวถึงการนำฮ่องกงกลับคืนสู่แนวทางการกำกับดูแลของจีนแผ่นดินใหญ่อย่างจริงจัง
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ปธน.สี จิ้นผิง จะประกาศแผนเปิดประเทศให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้มากกว่าเดิม ซึ่งจะมุ่งเน้นที่เมืองเซินเจิ้นและภาคเทคโนโลยี นอกจากนี้ จะมีการประกาศผ่อนปรนข้อกำหนดด้านอุตสาหกรรมพลังงานและโทรคมนาคม
-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) ระงับการทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 หลังพบผู้เข้าร่วมการทดลองรายหนึ่งล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ และบริษัท Eli Lilly & Co ประกาศระงับการรับอาสาสมัครเข้าร่วมการทดลองแอนติบอดีสำหรับการรักษาโรคโควิด-19 เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย
-- กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ดีดตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน โดยเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย. หลังจากปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค.
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 1.4% ในเดือนก.ย. หลังจากดีดตัวขึ้น 1.3% ในเดือนส.ค.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนี CPI เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน และเพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อเทียบรายปี
-- สหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB) แถลงว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมพุ่งขึ้น 3.8 จุด สู่ระดับ 104 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในเดือนก.พ.
ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมได้รับแรงหนุนจากการที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการชัตดาวน์ที่มีการประกาศก่อนหน้านี้เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
NFIB ระบุว่า เจ้าของกิจการคาดว่าจะเพิ่มการจ้างงาน ขณะที่มีความเชื่อมั่นมากขึ้นต่อแนวโน้มกำไร และภาวะเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนข้างหน้า
-- ธนาคารกลางอินโดนีเซียประกาศคงอัตราดอกเบี้ยซื้อพันธบัตรโดยมีสัญญาขายคืน (reverse repo) ระยะเวลา 7 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่ระดับ 4.00% ในการประชุมเมื่อวานนี้ โดยเป็นการคงดอกเบี้ยเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน และสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในตลาด
ทั้งนี้ ธนาคารกลางอินโดนีเซียประกาศคงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเพื่อรักษาเสถียรภาพของรูเปียห์ ซึ่งได้ดิ่งลง 6.2% ตั้งแต่ต้นปีนี้ และเป็นสกุลเงินเอเชียที่อ่อนค่ามากที่สุด หลังจากที่นักลงทุนต่างชาติแห่ถอนเงินทุนมากถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ออกจากตลาดการเงินอินโดนีเซียในปีนี้
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางอินโดนีเซียระบุว่าจะยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ตลาด และฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
-- ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ในการประชุมวันนี้ ขณะที่ BOK ยังคงเดินหน้าสกัดความร้อนแรงของราคาอสังหาริมรัพย์ แม้เศรษฐกิจภายในประเทศยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ตาม
นับตั้งแต่ต้นปีนี้ BOK ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงทั้งสิ้น 0.75% แล้ว ซึ่งส่งผลให้ความต้องการอสังหาริมทรัพย์และราคาอสังหาริมทรัพย์พุ่งขึ้น
นายลี จู-ยอล ผู้ว่าการ BOK มีกำหนดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนผ่านทางยูทูบในเวลา 09.20 น.ตามเวลาไทยในวันนี้
-- ธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ประกาศคงนโยบายการเงินไม่เปลี่ยนแปลงในวันนี้ตามที่ตลาดคาดกันไว้ พร้อมทั้งระบุว่าจะยังคงดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไปอีก
ทั้งนี้ MAS ดำเนินนโยบายการเงินผ่านทางการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนมากกว่าอัตราดอกเบี้ย โดยปล่อยให้ดอลลาร์สิงคโปร์ปรับตัวขึ้นหรือลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินของคู่ค้าหลักภายในกรอบการซื้อขายที่ไม่มีการเปิดเผย
MAS ระบุในแถลงการณ์ว่า "เนื่องจากคาดว่าเงินเฟ้อพื้นฐานจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ MAS ประเมินว่า นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจะยังคงเหมาะสมต่อไปอีกระยะ"
-- กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์ภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หดตัวลง 7% ในไตรมาส 3/2563 เมื่อเทียบเป็นรายปี หลังจากหดตัวลง 13.3% ในไตรมาส 2
ทั้งนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ยังคงคาดว่า GDP ทั้งปีนี้จะหดตัวลง 5-7% หลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
นักวิเคราะห์รายหนึ่งระบุว่า GDP ของสิงคโปร์ไม่ได้เลวร้ายมากนักเมื่อเทียบกับการคาดการณ์ และคาดว่าเงินเฟ้อจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นในปี 2564 และ MAS จะยังคงตรึงนโยบายการเงินต่อไปในปีหน้า
-- แอปเปิลจัดอีเวนต์ครั้งใหม่เมื่อวานนี้ โดยงานเริ่มต้นด้วยการเปิดตัว HomePod Mini ซึ่งเป็นลำโพงอัจฉริยะที่มาพร้อมความสามารถจดจำเสียงที่แตกต่างกันของสมาชิกในครอบครัว และทำงานร่วมกับ Apple Home ซึ่งเป็นระบบอัจฉริยะของแอปเปิลในการเชื่อมโยงอุปกรณ์ภายในบ้าน
ขณะเดียวกันได้มีการเปิดตัว iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น ได้แก่ iPhone 12 Mini และ iPhone 12 Pro Max ซึ่งจะเปิดพรีออเดอร์ในวันที่ 6 พ.ย. และวางจำหน่ายในวันที่ 13 พ.ย. และ iPhone 12 และ iPhone 12 Pro ซึ่งจะเปิดพรีออเดอร์ในวันที่ 16 ต.ค. และวางจำหน่ายในวันที่ 23 ต.ค.
อย่างไรก็ดี แอปเปิลจะไม่มีการแถมที่ชาร์จและหูฟังแต่อย่างใด เพื่อลดขยะอิเลคทรอนิคส์ และแก้ไขปัญหาโลกร้อน
-- ศูนย์วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเชิงระบบ (CSSE) แห่งมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ รายงานว่า ณ เวลา 18.24 น.ของวันอังคารตามเวลาสหรัฐ หรือ 05.24 น.ของวันพุธตามเวลาไทย จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกพุ่งขึ้นแตะ 38,006,121 ล้าน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 1,083,875 ราย
ข้อมูลจาก CSSE ระบุว่า สหรัฐเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 มากที่สุดในโลก โดยมีผู้ติดเชื้อจำนวน 7,850,829 ราย และมีผู้เสียชีวิตจำนวน 215,775 ราย รองลงมาคืออินเดีย ขณะที่บราซิลมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากเป็นอันดับสามของโลก อยู่ที่ 5,103,408 ราย และมีผู้เสียชีวิตเป็นอันดับสองของโลก อยู่ที่ 150,689 ราย
ทั้งนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อทั้งสามประเทศรวมกันมีจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อทั่วโลก
-- สถาบันเพื่อการวัดและประเมินผลด้านสุขภาพ (IHME) ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน เปิดเผยแบบจำลองโควิด-19 ฉบับปรับปรุงใหม่ ซึ่งคาดการณ์ว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในสหรัฐอาจสูงถึงเกือบ 400,000 ราย ภายในวันที่ 1 ก.พ. 2564
แบบจำลองของสถาบัน IHME ระบุว่า ยอดเสียชีวิตรายวันสูงสุดในสหรัฐช่วงกลางเดือนม.ค. 2564 อาจอยู่ที่ 2,200 ราย ส่วนยอดผู้เสียชีวิตรวมอาจมากถึง 394,693 ราย ภายในวันที่ 1 ก.พ. 2564
อย่างไรก็ตาม หากมีการผ่อนปรนข้อจำกัด จำนวนผู้เสียชีวิตจะพุ่งทะลุ 502,000 ราย ภายในวันที่ 1 ก.พ. แต่หากผู้คนประมาณ 95% สวมหน้ากากอย่างสม่ำเสมอ ทางสถาบัน IHME คาดการณ์ว่าจะมีผู้เสียชีวิตราว 315,800 ราย
สถาบัน IHME ยังคาดการณ์ว่า ผู้เสียชีวิตทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ 2.5 ล้านราย ภายในวันที่ 1 ก.พ. 2564 แต่จำนวนดังกล่าวจะลดลงเหลือ 1.7 ล้านคนหากประชาชน 95% สวมหน้ากากอนามัย
-- บริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) ประกาศระงับการทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 หลังจากผู้เข้าร่วมโครงการทดลองรายหนึ่งล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ
J&J ออกแถลงการณ์ในคืนวันจันทร์ตามเวลาสหรัฐว่า การทดลองทางคลินิกของวัคซีนต้านโควิด-19 ในระยะล่าสุดซึ่งมีอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการ 60,000 คนนั้น ได้ถูกระงับลง หลังพบผู้เข้าร่วมการทดลองรายหนึ่งล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนี้ ทางบริษัทยังระงับการรับอาสาสมัครในโครงการดังกล่าวเป็นการชั่วคราว
สถานการณ์ของ J&J มีความคล้ายกับเมื่อครั้งที่บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ผู้ผลิตยารายใหญ่ของอังกฤษ ประกาศระงับการทดลองใช้วัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในเฟสที่ 3 เมื่อวันที่ 9 ก.ย. หลังจากผู้เข้าร่วมทำการทดสอบรายหนึ่งล้มป่วยโดยไม่สามารถอธิบายสาเหตุได้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่า การวางจำหน่ายวัคซีนต้านโรคโควิด-19 อาจจะถูกเลื่อนออกไป
-- Eli Lilly & Co ซึ่งเป็นบริษัทยาของสหรัฐ ออกมาประกาศระงับการรับอาสาสมัครเข้าร่วมการทดลองแอนติบอดีสำหรับการรักษาโรคโควิด-19 ไม่นานหลังจากบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) ประกาศระงับการทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 เฟสสุดท้าย
Eli Lilly & Co ระบุในแถลงการณ์ว่า คณะกรรมการติดตามความปลอดภัยด้านข้อมูลของบริษัทได้แนะนำให้ระงับการรับอาสาสมัครทดลองแอนติบอดีในโครงการทดลองซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐ โดยแอนติบอดีชนิดนี้เป็นโมโนโคลนอลแอนติบอดี (monoclonal antibody) ที่ Eli Lilly & Co ใช้ทดลองรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ควบคู่กับการใช้ยาเรมเดซิเวียร์ (Remdesivir) ของบริษัทกิลเลียด ไซแอนเซส (Gilead Sciences)
"ความปลอดภัยถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก" โฆษกของ Eli Lilly & Co กล่าว แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คณะกรรมการฯกังวลเรื่องความปลอดภัยและแนะนำให้ระงับโครงการดังกล่าว
-- จับตาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญวันนี้ ญี่ปุ่นและอียูมีกำหนดการเปิดเผยข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค. ขณะที่สหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ย.
ส่วนในวันพรุ่งนี้ ออสเตรเลียเตรียมเปิดเผยอัตราว่างงานเดือนก.ย. จีนมีกำหนดเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และยอดปล่อยกู้สกุลเงินหยวนเดือนก.ย. ในขณะที่สหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนก.ย., ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนต.ค.จากเฟดนิวยอร์ก, ดัชนีการผลิตเดือนต.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA)