นักวิเคราะห์หลายรายเชื่อว่า สกุลเงินหยวนของจีนจะยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แม้ธนาคารกลางจีน (PBOC) พยายามสกัดการแข็งค่าของเงินหยวนด้วยการลดสัดส่วนการกันสำรองของสถาบันการเงินเมื่อทำธุรกรรมฟอร์เวิร์ดสกุลเงินต่างประเทศ ลงเหลือ 0% จากระดับ 20% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา
มาร์ค แชนด์เลอร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านตลาดของบริษัท Bannockburn Global Forex เปิดเผยในรายการ "Squawk Box Asia" ทางสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นบีซีว่า "ในทางเทคนิค มาตรการดังกล่าวของ PBOC ถือเป็นการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับการที่เงินหยวนแข็งค่าขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา"
ทั้งนี้ ค่าเงินหยวนในตลาดออนชอร์พุ่งขึ้นเกือบ 3.9% นับตั้งแต่ต้นปี 2563 ก่อนที่ PBOC จะปรับลดการกันสำรองดังกล่าวในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวทำให้เทรดเดอร์มีต้นทุนลดลงในการซื้อสกุลเงินอื่นๆ เมื่อเทียบกับเงินหยวน และเมื่อหลังจากที่ PBOC ประกาศมาตรการดังกล่าวแล้ว ค่าเงินหยวนก็ยังคงแข็งค่า โดยในช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาสิงคโปร์ เงินหยวนแข็งค่าขึ้นราว 3.4%
บรรดานักวิเคราะห์ระบุว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของจีน และส่วนต่างที่กว้างขึ้นระหว่างอัตราดอกเบี้ยของจีนและของสหรัฐนั้น เป็นปัจจัยที่หนุนให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้น
ปีเตอร์ เชีย นักกลยุทธ์ด้านปริวรรตเงินตราต่างประเทศของธนาคาร UOB แสดงความเห็นไปในทางเดียวกันว่า การดำเนินการของ PBOC เพียงแค่ทำให้เงินหยวนมีเสถียรภาพขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไม่สามารถหยุดการแข็งค่าของเงินหยวนได้ โดยเชียคาดว่า เงินหยวนมีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะระดับ 6.60 หยวนต่อดอลลาร์ ภายในช่วงกลางปีหน้า
เมื่อวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา PBOC ประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองของสถาบันการเงินเมื่อทำธุรกรรมฟอร์เวิร์ดสกุลเงินต่างประเทศ ลงเหลือ 0% จากปัจจุบัน 20% โดยให้มีผลตั้งแต่วันจันทร์ที่ 12 ต.ค.
ที่ผ่านมานั้น PBOC มีกฎว่า สถาบันการเงินจะต้องกันเงินสดสำรอง 20% ของยอดการชำระบัญชีการทำธุรกรรมฟอร์เวิร์ดสกุลเงินต่างประเทศ เพื่อเป็นเงินทุนสำรองป้องกันความเสี่ยงสกุลเงินต่างประเทศ โดย PBOC ได้ประกาศใช้มาตรการดังกล่าวเมื่อ 2 ปีที่แล้ว